หลักสูตรศิลปะการประกอบอาหาร คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดกิจกรรม "DPU Talk : กลยุทธ์รอด อยู่ให้ได้ รวยให้เป็น!" เพื่อกระตุ้นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และนักศึกษา เตรียมความพร้อมรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการรู้เป้าหมายลูกค้า คุณภาพรสชาติและความอร่อยยังคงเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคใช้ตัดสินใจเลือกเข้าใช้บริการร้านอาหาร
โดยเชิญกูรูในวงการอาหารมาร่วมแชร์ประสบการณ์ พร้อมสอนเทคนิคการถ่ายภาพอาหารเพื่อการรีวิว จากช่างภาพมืออาชีพ ในการนี้ ดร.ยุวรี โชคสวนทรัพย์ คณบดีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน ณ Makerspace มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
อาจารย์ธีราพัทธ์ ชมชื่นจิตต์สิน หัวหน้าหลักสูตรสาขาวิชาศิลปะการประกอบอาหาร คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้เป็นการบริการวิชาการในรูปแบบใหม่ของคณะ ซึ่งมุ่งหวังให้เป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้หรือต่อยอดในธุรกิจ โดยกิจกรรมครั้งนี้แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่
ภาคเช้าเป็นการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจอาหาร และภาคบ่ายจัด Workshop สอนถ่ายภาพอาหารเพื่อการรีวิว โดยคุณวัฒน์-จิรวัฒน์ มหาทรัพย์ถาวร ช่างภาพมืออาชีพ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักศึกษาได้เรียนรู้เทคนิคการสื่อสารทางการตลาดที่สำคัญในยุคโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะนักศึกษา สาขาการประกอบอาหาร ชั้นปีที่ 1 จะได้ประสบการณ์จริงจากการพบปะผู้เชี่ยวชาญและเชฟตัวจริง
ซึ่งกิจกรรมนี้ยังสอดคล้องกับรายวิชาที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจอาหาร ที่มีการปรับหลักสูตรใหม่ เพื่อเน้นการสร้างทักษะและความรู้พื้นฐานให้แน่นขึ้น พร้อมเพิ่มรายวิชาที่สอดคล้องกับแนวโน้มปัจจุบันและอนาคต อาทิ SDGs เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 2 ที่เกี่ยวกับยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการ และส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังมีรายวิชาที่เกี่ยวกับการจัดงานอีเว้นท์ โภชนาการและศิลปะ รวมถึงการใช้เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ในการสร้างสรรค์เมนู การตลาด และการออกแบบอินโฟกราฟิก
นายพุฒิเมธ พิทักษ์ชาติวงศ์ หรือ คุณพิท จาก Kit D Studio ที่ปรึกษาด้านธุรกิจอาหาร ได้เผยแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารปี 2025 ว่า ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ธุรกิจร้านอาหารต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก อย่างไรก็ตาม จากการสังเกตในตลาด พบว่ายังมีผู้ประกอบการบางรายที่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้ยังปรากฏว่ามีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการแต่ละรายมองเห็นโอกาสทางธุรกิจในมุมมองที่แตกต่างกัน แม้จำนวนผู้ประกอบการธุรกิจอาหารจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์ตลาดเป้าหมายได้อย่างชัดเจน กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจง และระบุตำแหน่งทางการตลาดของตนเองได้อย่างแม่นยำ โอกาสในการประสบความสำเร็จและมียอดขายที่ดียังคงเป็นไปได้
นายพุฒิเมธ กล่าวต่อว่า สำหรับ 8 เทรนด์อาหารที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน ประกอบด้วย
“จากผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทย กลุ่มตัวอย่าง 800 คน (ข้อมูลจาก Baramizi Lab) พบปัจจัยเลือกร้านอาหาร 3 อันดับแรก คือ รสชาติ-ความอร่อย ร้อยละ 60.12 ความสะอาด-ปลอดภัย ร้อยละ 58.75 และราคา-ความคุ้มค่า ร้อยละ 55.38 ดังนั้นสิ่งที่ผู้ประกอบการจ้องปรับตัวคือต้อง "รู้ว่าขายใคร" หลีกเลี่ยงการ "ขายทุกคน" และปรับกลยุทธ์ตามกลุ่มอายุ โดย กลุ่ม Baby Boomer ชอบสไตล์ครอบครัว Gen X พึ่งรีวิว Gen Y หา Work-life Balance และ Gen Z โฟกัสความสวยงามของอาหาร
นอกจากนี้ ความท้าทายใหญ่ของธุรกิจ คือ การรักษายอดขาย ซึ่งต้องรักษาลูกค้าเดิม 60-70% และหาลูกค้าใหม่ 30% พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และปรับตัวให้ทันกระแส เพราะผู้บริโภคไทยชอบทดลองร้านใหม่ การแข่งขันจึงรุนแรงกว่าเดิม”นายพุฒิเมธ กล่าวในตอนท้าย
ในช่วงเสวนา ประกอบด้วย คุณพิท-พุฒิเมธ พิทักษ์ชาติวงศ์ Kit D Studio , คุณต่าย-ฉัตรวิมล ติยะชัยพานิช เจ้าของร้าน WABI’s ถนนทรงวาด, คุณฝน-วรินท์น่า นิธิสำราญรัตน จาก บริษัท อบอุ่น เคเทอริ่ง , เชฟเสาวกิจ ปรีเปรม นายกสมาพันธ์เชฟประเทศไทย โดยผู้เชี่ยวชาญในวงการอาหารได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ โดยตัวแทนจากร้าน WABI’s ได้เผยกลยุทธ์สำคัญ คือ การติดตามเทรนด์ขนมต่างประเทศในแถบเอเชียที่มีรสชาติใกล้เคียงกับผู้บริโภคไทย แล้วนำมาปรับสูตรขายเป็นรายแรก ซึ่งการสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ทำให้ลูกค้ารู้สึกทันสมัยและแปลกใหม่ ส่งผลให้เกิดกระแสนิยม
สำหรับธุรกิจบริการจัดเลี้ยง ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตอบสนองความต้องการลูกค้าอย่างไม่มีเงื่อนไข และการผลิตจากครัวกลางเพื่อควบคุมรสชาติให้คงที่ ในขณะที่ปัญหาหลักของผู้ประกอบการร้านอาหารในปีนี้ คือ เรื่องต้นทุนและยอดขาย หลายร้านมียอดขายดีแต่ไม่เหลือกำไร เนื่องจากไม่มีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ไม่คำนวณต้นทุนอาหาร และไม่มีการปรับปรุงราคาให้เหมาะสม
โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้นร้านที่ขายรสชาติเดิมมานานอาจไม่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ จึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กัน เพื่อให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าและขยายกลุ่มเป้าหมายได้
“สำหรับการปรับตัวในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายแนะนำให้ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารปรับโครงสร้างพนักงานโดยใช้พนักงานประจำในตำแหน่งหลักเพียงไม่กี่คน และเพิ่มพนักงานพาร์ทไทม์ในวันที่มีลูกค้าจำนวนมาก รวมถึงการขยายช่องทางการขายผ่านบริการเดลิเวอรี่ การกำหนดราคาสินค้าที่หลากหลายเพื่อครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม การสำรวจตลาดเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง การจัดทำระบบปฏิบัติการมาตรฐาน และการวางแผนงบประมาณระยะสั้นและระยะยาวพร้อมผลิตภัณฑ์สำรองเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ”
ด้าน นายธนพงศ์ วงศ์ชินศรี หรือ ต่อ เพนกวิน เจ้าของร้านอาหาร Penguin Eat Shabu บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับ “การสร้างกลยุทธ์การทำร้านอาหารให้รอด ในยุคเศรษฐกิจแย่” โดยเน้นย้ำว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารยุคหลังโควิด-19 ต้อง "ตีลังกาความคิด" จากเพียงแค่ทำอาหารอร่อยสู่การเป็น "นักธุรกิจอาหาร" ที่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง เพราะความรู้และแนวทางแบบเก่าที่เคยใช้ได้ดีล้าสมัยไปแล้ว ปัจจุบันโลกธุรกิจร้านอาหารมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา "ความอร่อย" จึงไม่ใช่จุดขายเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เนื่องจากความอร่อยและบริการที่ดีเป็นเพียง "Point of Parity" หรือคุณสมบัติพื้นฐานที่ต้องมีอยู่แล้ว
ดังนั้นผู้ประกอบการต้องเรียนรู้ศาสตร์หลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นการบัญชี, การตลาด, การสร้างแบรนด์, โลจิสติกส์ เพื่อเป็น "ผู้ประกอบการธุรกิจที่ครบเครื่อง" อย่างไรก็ตาม การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงในขณะที่มีโอกาสเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
“สำหรับ SME ไทยที่ทำธุรกิจอยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้อง "ตีลังกา" แบบทันทีทันใด แต่สามารถทำได้แบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product) หรือสายผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Line) ที่สะท้อนโมเดลธุรกิจแบบใหม่ เพื่อค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านไปสู่ทิศทางที่ต้องการ นอกจากนี้ การวางตำแหน่งแบรนด์ (Positioning) ก็มีความสำคัญมาก หากเป็นแบรนด์ระดับบนที่ต้องการจับตลาดล่าง การออก "Fighting Brand" ใหม่ภายใต้ชื่ออื่นจะง่ายกว่า ทั้งหมดนี้ คือ หัวใจสำคัญในการเอาชนะคู่แข่งที่ใหญ่กว่าและอยู่รอดในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” นายธนพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย