จากการ ตรวจสอบตู้สินค้าขาเข้า ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งสำแดงชนิดสินค้าเป็นเศษและของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นอะลูมิเนียม ปริมาณกว่า 110 ตัน โดยพบขยะอิเล็กทรอนิกส์ในปริมาณมากและอาจเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยจากสารปนเปื้อนนั้น
นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า คพ. ร่วมกับ ทีมสุดซอย กรอ. กศก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบตู้สินค้าขาเข้าจำนวน 6 ตู้ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พบว่าทุกตู้สินค้ามีการปะปนของแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการปนเปื้อนสารตะกั่ว ซึ่งเข้าข่ายเป็นของเสียอันตราย ภายใต้อนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด และพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ตามบัญชี 5.2 ของเสียเคมีวัตถุ (Chemical Wastes) ลำดับที่ 2.18 ของเสียอิเล็กทรอนิกส์ จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3
ที่ต้องขออนุญาตนำเข้าจาก กรอ. และต้องขอคำยินยอมล่วงหน้าก่อนการนำเข้าสินค้าอันตรายดังกล่าว ตามพันธกรณีอนุสัญญาบาเซลฯ การนำเข้าสินค้าอันตรายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากประเทศปลายทาง ถือเป็นการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายอย่างผิดกฎหมายภายใต้อนุสัญญาบาเซลฯ และเนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกายังมิได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาฉบับนี้ จึงไม่มีสิทธิ์ส่งของเสียอันตรายเข้ามายังประเทศภาคีอย่างประเทศไทย
คพ. ในฐานะศูนย์ประสานงานของอนุสัญญาบาเซลฯ จะดำเนินการแจ้งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการอนุสัญญาบาเซลฯ และประสาน กรอ. เพื่อแจ้งหน่วยงานผู้มีอำนาจของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการส่งกลับของเสียอันตรายดังกล่าวไปยังประเทศต้นทางโดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการยับยั้งการนำเข้าของเสียผิดกฎหมายเข้าสู่ประเทศ นางสาวปรีญาพร กล่าว