เปิดประเทศ 15 ธ.ค. เหมาะสมที่สุด ชี้ฉีดวัคซีนโควิดครบ 2 เข็มครบระยะภูมิขึ้น

18 ต.ค. 2564 | 01:35 น.

หมอเฉลิมชัยชี้เปิดประเทศไทยวันที่ 15 ธันวาคมเหมาะสมที่สุด ระบุจะมีการฉีดวัคซีนโควิดครบ 2 เข็ม 70% ของปรากร พร้อมครบกำหนดระยะภูมิคุ้มกันขึ้น

รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
เปิดประเทศไทย 15 ธันวาคม 2564  น่าจะมีความเหมาะสมที่สุด สมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสาธารณสุข
ทุกประเทศทั่วโลก ต่างประสบปัญหาเรื่องโควิดในทำนองเดียวกันคือ
1.ถ้าจะคุมการระบาดให้ดี จนประชาชนมีความสบายใจ จะต้องใช้มาตรการที่เข้มงวด แต่จะกระทบมิติทางเศรษฐกิจและสังคมค่อนข้างมาก
2.ถ้าจะเน้นมิติทางเศรษฐกิจและสังคม ผ่อนคลายให้มีการทำมาหากิน การใช้ชีวิตเป็นไปได้โดยสะดวก ก็จะกระทบมิติสาธารณสุขคือการระบาดของโรค
ทุกประเทศจึงต้องหาจุดสมดุลหรือจุดที่เหมาะสมให้มากที่สุด ซึ่งย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบริบทของแต่ละประเทศ และประชาชนในแต่ละประเทศ ก็มักจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป แม้เป็นข้อมูล หรือสถิติชุดเดียวกันก็ตาม
ในระดับโลก พบ ความแตกต่างอย่างมาก ของแต่ละประเทศที่รับมือกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด
ประเทศจีนและนิวซีแลนด์ เน้นการคุมการระบาดเข้มงวดมาก
ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เน้นการผ่อนคลายทางสาธารณสุข

อย่างไรก็ตาม การหาจุดสมดุลระหว่างมิติทั้งสอง ก็จะมีปัจจัยที่สำคัญบางประการ ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้คือ
การครอบคลุมของประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบสองเข็ม จำนวนอย่างน้อย 70% ร่วมไปกับวินัยในการป้องกันตนเอง เช่น การใส่หน้ากาก เพื่อที่เมื่อผ่อนคลายเปิดประเทศ หรือเปิดกิจการต่างๆแล้ว โอกาสติดเชื้อจะได้ไม่มากนัก ติดเชื้อแล้วจะได้ป่วยไม่หนัก และจำนวนผู้เสียชีวิตไม่มาก
เราจึงต้องมาดูว่า ประเทศไทยนั้น ถ้าจะใช้หลักฉีดวัคซีนครบสองเข็ม 70% จะเป็นช่วงเวลาไหน และหลังจากนั้นก็พิจารณาเปิดประเทศด้วยความระมัดระวัง
วันที่ 15 ตุลาคม 2564 ประเทศไทยฉีดวัคซีนไปแล้ว 63.614 ล้านโดส
เข็มที่หนึ่ง 55.5% (36.72 ล้านโดส)
เข็มที่สอง 37.8% (25.01 ล้านโดส)
เข็มที่สาม 2.8% (1.88 ล้านโดส)

ไทยฉีดวัคซีนอันดับ 5 ของอาเซียน
โดยไทยฉีดวัคซีนได้เป็นอันดับที่ 5 ของอาเซียน แต่ถ้าคิดเฉพาะประเทศที่มีประชากรมาก ไทยฉีดได้เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากมาเลเซีย แต่มากกว่าอินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และพม่า
ถ้าต้องการเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ก็คือ 50 ล้านคน หรือ 100 ล้านโดส เราจะต้องเร่งฉีดวัคซีนอีก 36.386 ล้านโดส ในขณะที่เดือนตุลาคมนี้ไทยฉีดวัคซีนได้เฉลี่ยวันละ 800,000 โดส
ดังนั้นเราจะต้องใช้เวลาฉีดอีก 45 วัน นั่นคือจะฉีดครบเข็มสองในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 และเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าภูมิคุ้มกันจะขึ้นได้ดี ก็จะนับ 14 วันหลังจากฉีดครบเข็มสอง ก็จะตกวันที่ 15 ธันวาคม 2564
จึงทำให้พอจะเห็นได้ว่า การเปิดประเทศหรือผ่อนคลายให้เกิดความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจและสังคม กับมิติทางสาธารณสุข โดยยึดระดับความมั่นใจของวัคซีนเข็มสอง 70% ก็น่าจะเปิดประเทศในกลางเดือนธันวาคมคือ 15 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป

โดยที่ประชาชนในแต่ละประเทศ ย่อมมีความเห็นแตกต่างกันในการเปิดประเทศเพื่อผ่อนคลายวิกฤตเศรษฐกิจในสถานการณ์โควิด เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบอย่างมาก จากมาตรการควบคุมโรคระบาด ย่อมอยากให้ผ่อนคลายโดยเร็ว
ส่วนกลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า ก็อยากได้ความมั่นใจในการควบคุมโรคระบาดให้ดีขึ้นเสียก่อน
ขณะนี้มีการทำโพลโดยมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พบว่าประชาชนเห็นด้วยกับการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 จำนวน 40% และมีประชาชนยังไม่เห็นด้วย 60%
แต่ทั้งนี้การตัดสินใจเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ก็มีเหตุมีผลที่รองรับการตัดสินใจพอสมควร จึงมีประชาชนเห็นด้วย 40%

ประชาชน 60% ไม่เห็นด้วยกับการเปิดประเทศ 1 พ.ย.
และมาตรการที่รัฐเยียวยาประคับประคองผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง ได้ผลดีในระดับหนึ่ง จึงทำให้มีผู้ที่ยังไม่อยากให้เปิดประเทศ มากถึง 60%
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 (covid-19) ในประเทศไทยนั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันมีการฉีดสะสมแล้วทั้งหมด 65,202,741 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 37,446,713 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 25,825,658 ราย และเข็มที่ 3 จำนวน 1,930,827 ราย
ส่วนสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในไทยวันที่ 18 ตุลาคม 64 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานพบ ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรวม 10,111 ราย มาจาก ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,070 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 41 ราย  ผู้ป่วยสะสม(ตั้งแต่ 1 เม.ย.64) 1,764,949 ราย  เสียชีวิตเพิ่ม 63 ราย หายป่วย 10,612 ราย กำลังรักษา 107,226 ราย หายป่วยสะสม(ตั้งแต่ 1 เม.ย.64) 1,640,824 ราย