ฉีดวัคซีนโควิดเด็ก หมอธีระแนะให้สิทธิผู้ไม่ฉีดเข้าเรียนเทียบเท่าผู้ฉีด

08 ต.ค. 2564 | 02:32 น.

หมอธีระแนะควรให้สิทธิผู้ไม่ฉีดวัคซีนโควิดเข้าเรียนเทียบเท่าผู้ฉีด ระบุยกเว้นในอนาคตหากมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าการฉีดวัคซีนจะทำให้ไม่ติดไม่แพร่ หรือลดโอกาสติดโอกาสแพร่อย่างมีนัยสำคัญ จึงจะสามารถนำมาพิจารณา

รายงานข่าวระบุว่า รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)" โดยมีข้อความว่า
เรื่องที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับวัคซีนและสิทธิในการเข้าเรียนของนักเรียนนิสิตนักศึกษา
การฉีดวัคซีนนั้นเป็นประโยชน์ต่อตัวบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนเป็นหลัก
แต่คงต้องเคารพสิทธิในความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนด้วยเช่นกัน หากเค้าตัดสินใจไม่ฉีด ซึ่งอาจมีเหตุผลของเค้า เช่น ไม่มั่นใจในเรื่องสูตรที่ได้รับ และอาจรอวัคซีนที่เค้ามั่นใจ

ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ตามหลักวิชาการแพทย์แล้ว ไม่ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีด ก็ติดเชื้อได้หากไม่ป้องกันตัวและแพร่ให้คนอื่นได้เช่นกัน 
ดังนั้น แม้เค้าจะฉีดหรือไม่ ก็ควรจะมีสิทธิเข้าเรียนเทียบเท่าคนอื่น (ยกเว้นในอนาคต หากมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าการฉีดวัคซีนจะทำให้ไม่ติดไม่แพร่ หรือลดโอกาสติดโอกาสแพร่อย่างมีนัยสำคัญ จึงจะสามารถนำมาพิจารณาเรื่องความเหมาะสมที่จะตั้งกฎให้เฉพาะคนฉีดเข้าเรียนอีกครั้งเพราะส่งผลต่อสวัสดิภาพของคนอื่นในสังคม)

วัคซีนและสิทธิในการเข้าเรียนของนักเรียน-นักศึกษา
ในมุมมองผม จึงคิดว่า ถ้าไม่ฉีด ก็ควรให้เข้าเรียนได้ แต่ต้องป้องกันตัวตามระเบียบ คือใส่หน้ากาก ล้างมือ อยู่ห่างๆ และตรวจคัดกรองโรคเป็นระยะตามที่กำหนดสำหรับทุกคน
ส่วนคำแนะนำเกี่ยวกับวัคซีนนั้น ถือเป็นคำแนะนำในการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันตนเอง ลดโอกาสป่วย ลดโอกาสตาย ยิ่งสถานการณ์ระบาดรุนแรง การฉีดวัคซีนนั้นเป็นประโยชน์แน่นอน ขอยืนยันด้วยตัวเลือกที่มีในขณะนี้ เราสามารถเข้าถึงวัคซีนชนิดที่เหมาะสมสำหรับเพศ และวัยได้มากกว่าช่วงครึ่งปีแรก สามารถปรึกษากับบุคลากรทางการแพทย์ที่ท่านเชื่อใจได้

และคงจะดีมาก หากทุกประเทศมีนโยบายวัคซีนที่เหมือนกัน อิงความรู้เชิงประจักษ์ที่เป็นที่ยอมรับระดับสากล ทั้งเรื่องสูตร ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความเหมาะสมกับช่วงอายุและเพศของประชากร
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 (covid-19) ในประเทศไทยนั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-6 ต.ค. 64 มีการฉีดสะสมแล้วจำนวน 57,387,052 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 33,774,684 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 22,005,722 ราย และเข็มที่ 3 จำนวน 1,606,646 ราย