ในการจับจ่ายหาซื้ออาหาร ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพ ความสดใหม่ และความสะอาด มากกว่าเวลาเปิดปิดของร้าน ความหลากหลายของสินค้า และบริการส่งถึงบ้าน
80% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย จะซื้ออาหารสดจากช่องทางออฟไลน์ หลังการคลายมาตรการป้องกันโควิด-19
อิเมอร์สัน คอมเมอร์เชียล แอนด์ เรซิเดนชียล โซลูชั่น เผยผลสำรวจที่แสดงถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากของผู้บริโภค หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลักดันให้ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมใหม่นี้ โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 81% ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งว่าอาหารถูกเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานหรือไม่ ซึ่งรวมทั้งระหว่างการขนส่งและการจัดเก็บสินค้าด้วย
พฤติกรรมดังกล่าวตอกย้ำความจำเป็นที่ร้านค้าปลีก ซูเปอร์มาร์เก็ต และผู้ผลิตต้องลงทุนในเทคโนโลยี กระบวนการและโครงสร้างพื้นฐานของระบบทำความเย็น เพื่อช่วยให้อาหารมีความสดใหม่และปลอดภัย ตามที่ผู้บริโภคต้องการ
อิเมอร์สัน ได้จัดทำ “รายงานการวิจัยทางการตลาด: แบบสอบถามผู้บริโภคเรื่องระบบความเย็นในช่วงโควิด-19” โดยได้รวบรวมคำตอบจากผู้บริโภคหญิงชายอายุระหว่าง 20 ถึง 60 ปี จำนวน 604 คน ในประเทศออสเตรเลีย จีนอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ไทย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) สภาพแวดล้อมในการจับจ่ายซื้อของที่มีความสะอาด และอุปกรณ์การทำความเย็นที่มีคุณภาพ มากกว่าเรื่องราคา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19
นอกจากนี้ 72% ของผู้ตอบแบบสอบถาม จะกลับไปซื้อสินค้าจากแหล่งขายอาหารสดดั้งเดิมอย่างซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ตลาดสด และร้านสะดวกซื้อ เมื่อมีการยกเลิกข้อจำกัดโควิด-19 โดยจะยังคาดหวังในเรื่องคุณภาพ และความสดใหม่ของอาหาร อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวอินเดียและจีน จะยังคงซื้ออาหารสดจากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่อไป
จากผู้ปลูกและผู้แปรรูป สู่ผู้กระจายสินค้าและร้านค้าปลีก เทคโนโลยีทำความเย็นและคอมเพรสเซอร์ของ Emerson ได้เข้ามามีบทบาทในการป้องกันอาหารเน่าเสียได้ตลอดทุกกระบวนการของ cold chain รวมทั้งระหว่างการจัดเก็บและการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ
ผู้บริโภคทำอาหารทานเองที่บ้านมากขึ้น
โควิด-19 ยังได้เปลี่ยนพฤติกรรมการทางอาหารนอกบ้าน โดยผู้บริโภคที่จะทานอาหารนอกบ้านบ่อยดังเดิม จะมีจำนวนลดลง ถึงแม้ว่าจะมีการยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ แล้วก็ตาม โดยเฉลี่ยแล้ว 47% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกที่จะทำอาหารทานเองที่บ้าน ถึงแม้จะมีการเปิดเมืองตามปกติ โดยผู้ตอบแบบสอบถามจากแอฟริกาใต้ (84%) อินเดีย(77%) ฟิลิปปินส์ (77%) ออสเตรเลีย (61%) และอินโดนีเซีย (60%) มีแนวโน้มที่จะทานอาหารที่บ้านมากกว่าไปที่ร้านอาหาร
ผลที่ตามมาคือ ผู้บริโภคจะซื้ออาหารสดจากร้านค้าปลีกมากขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสให้กับร้านค้าปลีก ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าออนไลน์ที่ทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยใช้เทคโนโลยีทำความเย็นที่พัฒนาแล้วเพื่อคลายความกังวลของผู้บริโภคเรื่องความปลอดภัย และคุณภาพของอาหาร
ในตลาดที่สำคัญบางแห่งในเอเชีย เราจะยังคงเห็นการเติบโตของการใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซในการสั่งซื้อ อาหารสดเช่นในประเทศจีนที่ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 88% ได้สั่งซื้ออาหารสดผ่านทางร้านค้าออนไลน์ หรือแอพลิเคชันมือถือตามมาด้วยเกาหลีใต้ (63%) อินเดีย (61%) และอินโดนีเซีย (60%) และแม้ว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการ ผู้ตอบแบบสอบถามชาวอินเดีย 52% และชาวจีน 50% ก็จะยังคงสั่งซื้ออาหารสดผ่านช่องทางออนไลน์ต่อไป
เมื่อมีอาหารที่ต้องแช่เย็นและแช่แข็งปริมาณมากอยู่ในคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ต้องเผชิญความท้าทายในการป้องกันอาหารเสีย รวมทั้งรักษาความปลอดภัยของอาหาร (food safety) ในสเกลขนาดใหญ่ ซึ่งความท้าทายจะซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อศูนย์กระจายสินค้าจำนวนมากยังมีบทบาท ในการช่วยเติมเต็มสินค้าของธุรกิจค้าปลีกอาหารที่ขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ
ซูเปอร์มาร์เก็ตและตลาดสดได้พัฒนาขั้นตอนรักษาความปลอดภัยและมาตรฐาน ตั้งแต่เริ่มการแพร่ระบาด แต่ก็ยังสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นอีก
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เชื่อว่าซูเปอร์มาร์เก็ต (82%) และตลาดสด (71%) ได้ปรับปรุงพัฒนาขั้นตอน และมาตรฐานเพื่อให้แน่ใจในความปลอดภัยและคุณภาพของอาหาร และผู้บริโภคมีความคาดหวังมากขึ้นว่าอุตสาหกรรมอาหารจะปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยและสุขภาพ การรักษาความสะอาด ของร้านค้า และจำหน่ายอาหารสดที่มีคุณภาพ และสะอาด ถูกหลักอนามัย
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค จะสร้างตลาดที่สำคัญสำหรับผู้ค้าปลีกที่ใช้ระบบทำความเย็น และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า เพื่อรักษาความสดใหม่และคุณภาพของอาหาร ช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้แก่ผู้บริโภคในระยะยาว