ประเทศไทยเข้าสู่โหมดพร้อมเลือกตั้ง หลังจากที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป หลังพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยที่ประชุม กกต. ได้มีมติเห็นชอบให้วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปนั้น
ในส่วนของภาคประชาชนมีหน้าที่ในฐานะผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมาย อย่างไรก็ดี หากผู้มีสิทธิไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในกรณีต่าง ๆ ทั้งการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (อบต. เทศบาล หรือ อบจ.) รวมถึงไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือ ไม่ไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติและมิได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ หรือได้แจ้งแล้วแต่เหตุนั้นไม่ใช่เหตุอันสมควรจะถูกจำกัดสิทธิตามที่กฎหมายกำหนดเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้งหรือวันออกเสียงประชามติ โดยสิทธิที่ถูกจำกัดเหมือนกันมี 4 ประการ ดังนี้
1. สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมัครรับเลือกเป็น สว.
2. สมัครรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่
3. ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมืองและข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา
4. ดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
สิทธิที่ถูกจำกัดเพิ่มเติม
1. กรณีที่ไม่ไปเลือกตั้ง 'สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)'
2. กรณีที่ไม่ไปเลือกตั้ง 'สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น'
- เข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น
- ดำรงตำแหน่งเลขานุการประธานสภาท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาท้องถิ่น และเลขานุการรองประธานสภาท้องถิ่น
3. กรณีที่ไม่ไป 'ออกเสียงประชามติ'
- ถูกจำกัดสิทธิเพิ่มอีก 1 ข้อ คือ ไม่สามารถเข้าชื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบในการออกเสียงประชามติได้
ทั้งนี้ การจำกัดสิทธิมีกำหนดเวลาครั้งละ 2 ปี นับแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง/การออกเสียงประชามติ ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและหากในการเลือกตั้ง / ออกเสียงประชามติครั้งต่อไป ผู้นั้นไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งอีก ให้เริ่มนับเวลาการจำกัดสิทธิใหม่ หากกำหนดเวลาการจำกัดสิทธิครั้งก่อนยังเหลืออยู่เท่าใดให้กำหนดเวลาการจำกัดสิทธินั้นสิ้นสุดลง รวมถึงการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างด้วย
ยกตัวอย่างเช่น กรณีนาย ขจร ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 68 และไม่แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ จึงถูกจำกัดสิทธิเป็นเวลา 2 ปี คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 68 ถึง 31 ม.ค. 70 และเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 68 ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเทศบาล นาย ขจร ก็ยังไม่ได้สิทธิกลับมาเพราะยังถูกจำกัดสิทธิการเลือกตั้ง อบจ. อยู่ จะพ้นเมื่อ 31 ม.ค. 70 ดังนั้น เพื่อไม่ให้เสียสิทธิต่าง ๆ ทุกคนต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งและออกเสียงประชามติ