การทำดี เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้ว่าการทำดีจะทำยากแต่เป็นหน้าที่ ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องพึงธรรม คำว่า กรรม เป็นคำกลางๆ เมื่อเติมไปว่า กรรมขาว หรือ กรรมดี จะเป็นอย่างหนึ่ง กรรมดำ หรือ กรรมชั่ว ก็มีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง
แต่เชื่อหรือไม่ว่า... คนบางคนทำดีมากมาย ไม่ว่าจะทำดีโดยหน้าที่ หรือ จะทำดีเพราะใจอยากทำดี แต่ดูเหมือนว่าชีวิตก็ไม่เห็นจะได้ดี หรือ มีผลลัพธ์อะไรที่ดีเลย ความเป็นอยู่ก็เหมือนเดิม รายได้ก็เท่าเดิม เผลอๆบางคนอาจจะแย่กว่าเดิม ทำไมทำดีแล้วยังไม่ได้ดี
ความจริงการทำดี มีเจตนาคือ ดำรงตนอยู่ในทำแล้วปล่อยวางเสีย อย่าไปคาดหวังว่าจะมีใครรู้เห็นหรือไม่ ทำแล้วก็แล้วกัน ไม่ใช่ทำแล้วไปรอคอยผลให้ตอบสนอง
การทำดีรอคอยผลตอบสนองนั้นยังถือว่าดีไม่จริงด้วยซ้ำไป ทำแล้วก็ลืมๆ ไปว่าเคยทำดีอะไร ทำดีเรื่องใด กับใคร จงลืม แต่ทว่าใครที่ทำดีกับเรา เราควรที่จะต้องจดจำเอาไว้ไม่ลืมเพื่อตอบแทนบุญคุณ
พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องกรรม ในนัยอุปาลิวาทสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่๑๓ ได้อย่างน่าสนใจมาก...
พระองค์ทรงตรัสว่า ระหว่างกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรมที่หนักที่สุดร้ายแรงที่สุด คือ มโนกรรม ความคิดจิตใจที่ไม่ดี.. ดังนั้นคนบางคนช่วยเหลือคน ทำดีกับผู้คนมากมายเหมือนราชการบางคนที่ทำแล้วแต่ทว่ายังโดนต่อว่าก็ต้องกลับมาดูตนเองว่า จิตใจของเองนั้นเป็นอย่างไร เพราะถ้ากายทำดี วาจาพูดดี แต่ทว่าจิตใจแอบคิดแอบตำหนิเขา อันนั้นแหละเป็นกรรมหนัก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ร้ายแรงมากมีโทษหนักมาก ส่งผลเร็วด้วย
แม้ตำหนิใครด้วยวาจาไป โทษยังเบากว่าที่ใจคิดร้าย ตำหนิเสียอีก ดังนั้นใครก็ตามที่กำลังทำดี ทำแล้วปล่อยวางเลย อย่างไปคิดอย่างอื่นในใจให้ขุ่นมัว อย่างที่คนโบราณบอกว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ นี่มันแจ่มแจ้งอย่างมาก
ความคิดเป็นอย่างไร จิตใจเป็นแบบนั้น คนที่คิดร้ายกรรมหนักในหมวดมโนกรรม เมื่อทำมากๆเข้า ครั้นสิ้นชีวิตไปมีอบายเป็นที่พึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นคนบางคนไม่ค่อยพูด แต่ลงมือทำ แต่ใจนั้นมีอกุศลกรรม ชีวิตของเขาก็ลำบากทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วย เพราะเหตุแห่งมโนกรรมนั้นเอง
เจตนาเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการกระทำ
เจตนาในที่นี้...มีจุดเริ่มต้นมาจากจิตใจความคิดหรือมโนเป็นจุดเริ่ม เปลี่ยนใจเพียงครั้งเดียว คุณจะมีความสุขและความสำเร็จทั้งชีวิตอย่างแท้จริงครับ