ในที่ประชุมครม.กระทรวงการคลังเสนอความเห็นต่อมาตรการฯว่า ควรดำเนินมาตรการฯ หรือมาตรการอื่นใด ที่สนับสนุนและส่งเสริมการซื้อสินค้าและบริการอีกในระยะต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นรูปธรรมสูงสุด โดยกระทรวงการคลังจะมุ่งสู่การกำหนดเงื่อนไขของมาตรการฯ เช่น จะต้องจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (รวมถึงบัตรเครดิตด้วย) ซื้อสินค้าและบริการกับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการจะต้องมีระบบบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale : POS) ช่วยเก็บบันทึกการขาย ยอดขาย จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่แยกออกจากราคาสินค้าและบริการ รายละเอียดสินค้า พิมพ์ใบกำกับภาษี และต้องรับและส่งข้อมูลจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละรายการที่รับชำระค่าสินค้าและบริการได้แบบทันที (Real-time) รวมถึงต้องพัฒนาระบบให้สามารถแยกประเภทสินค้าที่รัฐบาลต้องการจะส่งเสริมในแต่ละช่วงเวลาได้ เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีอากรและประสิทธิภาพในการใช้จ่ายของภาครัฐต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาฯ แล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 เพื่อให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือผู้ให้บริการการชำระเงินตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงิน สามารถหักรายจ่ายลงทุนได้เป็นจำนวน 2 เท่า สำหรับรายจ่ายลงทุนใน POS การพัฒนาระบบการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e – Withholding Tax) รวมทั้งการพัฒนาระบบการจัดทำใบกำกับภาษีและใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e – Tax Invoice/e-Receipt)