รฟท. เตรียมชงรัฐบาลใหม่เร่งผลักดันการจัดซื้อ-เช่าหัวรถจักร รถขบวนใหม่ กว่า 2 พันรายการ ค่ากว่าแสนล้าน มีลุ้นประเดิมจัดซื้อ 50 หัวรถจักร ค่า 6,200 ล้านบาท เร่งประกาศทีโออาร์หลังเลือกตั้ง ด้าน ภาคเอกชนแตะเบรก รฟท. วอนยึดมติ ครม. และ คนร.ให้เน้นส่งเสริมการผลิตในประเทศมากกว่าซื้อสำเร็จรูป
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ตามแผนฟื้นฟูของ รฟท. พบว่า มีความต้องการใช้รถจักรและล้อเลื่อน จำนวนรวมกว่า 2,000 รายการ เพื่อนำไปใช้งานในเส้นทางโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 รถไฟเส้นทางสายใหม่ โดยเฉพาะบริการเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับ รฟท. สำหรับบริการขบวนโดยสารและการขนส่งสินค้าเส้นทางต่าง ๆ คาดว่าจะใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท
โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการเร่งสรุปความเห็นต่อการปรับแก้ไขร่างเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) โครงการจัดซื้อรถจักรดีเซล จำนวน 50 คัน พร้อมอะไหล่ วงเงินลงทุนกว่า 6,200 ล้านบาท ตามที่ได้เปิดรับฟังความเห็นมาหลายครั้งแล้ว ภายหลังจากที่ได้ชะลอการจัดหาโครงการนับตั้งแต่รัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารประเทศ
ทั้งนี้ ฝ่ายที่รับผิดชอบส่งเรื่องมาเรียบร้อยแล้ว รอตรวจสอบความถูกต้อง แล้วจะเซ็นอนุมัติให้ดำเนินการส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งเปิดประมูลต่อไป คาดว่าจะมีหลายประเทศแสดงความสนใจ ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เช่นทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเรื่องนี้ถือว่าดำเนินการต่อเนื่อง ไม่ต้องรอรัฐบาลใหม่ ส่วนเรื่องการดำเนินการที่จะขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือ นโยบายกระทรวงคมนาคม หรือไม่นั้น จะพบว่า มติดังกล่าวเพิ่งประกาศออกมา แต่กระบวนการจัดหาหัวรถจักร จำนวน 50 หัว พร้อมอะไหล่ ได้ดำเนินการมานานผ่านกระบวนการที่เกินกว่าจะกลับไปเริ่มต้นใหม่ให้ล่าช้า ที่จะส่งผลเสียหายต่อ รฟท. ได้อีก
"ยังสงสัยรู้ได้อย่างไร ว่า โลคัลคอนเทนหัวรถจักรมีเพียง 30% ทราบได้อย่างไร หากจะศึกษาเรื่องนี้คงต้องใช้ระยะเวลาราว 1 ปี เช่นเดียวกับรถไฟฟ้า 4-5 สาย ที่จะเกิดขึ้นมา ถามว่าจะใช้ระบบเดียวกันหรือไม่ ยกเว้น โครงการอื่น ๆ ที่ยังไม่เกิด จะเร่งดำเนินการผลักดันตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป"
นายวรวุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับความต้องการใช้รถจักรและล้อเลื่อนตามแผนฟื้นฟู รฟท. จำแนกความต้องการใช้งาน ดังนี้ คือ โครงการจัดหารถจักรดีเซล จำนวน 50 คัน พร้อมอะไหล่, โครงการเช่ารถจักรดีเซลไฟฟ้า 50 คัน พร้อมอะไหล่, โครงการจัดหารถจักรสับเปลี่ยนภายในย่านสายสีแดง จำนวน 20 คัน พร้อมอะไหล่, โครงการจัดหารถดีเซลราง 216 คัน พร้อมอะไหล่, โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศสำหรับบริการเชิงพาณิชย์ 184 คัน พร้อมอะไหล่, โครงการจัดหารถจำนวน 965 คัน พร้อมอะไหล่, โครงการจัดหารถโดยสาร 273 คันทดแทน พร้อมอะไหล่, โครงการจัดหารถจักรดีเซลรางเชิงสังคมรองรับทางคู่ 524 คัน, โครงการจัดหารถดีเซลรางรองรับการเปิดเดินขบวนรถบนทางสายใหม่ 102 คัน, โครงการจัดหารถโดยสารรองรับการเปิดขบวนบนทางสายใหม่ 273 คัน, โครงการจัดหารถดีเซลรางสังคมทดแทนใช้งานรถท้องถิ่นสายอีสาน สายแม่กลอง และศาลายา จำนวน 98 คัน และโครงการจัดหารถดีเซลรางเชิงสังคมทดแทนรุ่นเลข 4 ตัว ในขบวนท้องถิ่นสายใต้ 60 คัน
"
ช่วงเบื้องต้น เตรียมนำเสนอรัฐบาลชุดใหม่เร่งผลักดัน ได้แก่ รายการจัดซื้อหัวรถจักร 50 คัน วงเงินลงทุน 6,200 ล้านบาท รายการจัดหารถดีเซลราง 216 คัน วงเงินลงทุนประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท, รายการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ 184 คัน วงเงินลงทุนประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และรายการจัดหารถบรรทุกตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ 965 คัน วงเงินลงทุนประมาณ 2,400 ล้านบาท รายการเหล่านี้น่าจะนำไปดำเนินการได้ก่อน ส่วนรายการอื่น ๆ ค่อยเร่งนำเสนอต่อเนื่องกันไป"
ด้าน นายวีรชัย ตรีพรเจริญ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ระบบราง สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย กล่าวว่า ในฐานะภาคเอกชนไทย ต้องการให้ รฟท. นำนโยบายของ ครม. และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่กำหนดว่า การจัดซื้อหัวรถจักรใหม่ รฟท. จะต้องมีแนวทางที่เหมาะสมในการสนับสนุนอุตสาหกรรมทางรางของประเทศ โดยใช้สินค้าหรือวัสดุภายในประเทศเป็นลำดับแรก ซึ่งปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตหัวรถจักรได้แล้ว โดยความร่วมมือจากบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ ดังนั้น โอกาสนี้หากรัฐมีความจริงใจในการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ ก็ควรจะเร่งดำเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สอดคล้องกับที่ นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช.ทวี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เรื่องนี้พูดกันมานาน และทราบดีว่า ฝ่ายจีนมีความพยายามจะผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ หากตรวจสอบแหล่งที่มาของราคา จะพบว่า ยึดการเทียบราคาจากแหล่งผลิตในจีนทั้งหมด ดังนั้น หาก รฟท. อ้างว่า มีความจำเป็นเร่งด่วน ไม่ปฏิบัติตามมติ ครม. และ คนร. ก็คงจะขึ้นอยู่กับอำนาจการตัดสินใจของผู้บริหารประเทศ ว่า เห็นควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไป