ก่อนเที่ยงวันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำตัว นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และ นายวันชัย หงษ์เหิน สามีของนางกาญจนาภา พร้อมสำนวนคดี และความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหากับพวกรวม 3 คน ส่งพนักงานอัยการที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ ชั้น 10
โดยคดีดังกล่าวมีการกล่าวหาว่า มีการฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับเครือกฤษดามหานคร โดยพบ ว่ามีธุรกรรมการเงินเป็นเช็คจำนวน 26 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท เข้าไปยังกลุ่มของผู้ต้องหา
เบื้องต้นพนักงานอัยการคดีพิเศษรับมอบตัวผู้ต้องหาและสำนวนไว้ และอนุญาตปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในชั้นพิจารณาสั่งคดีของอัยการโดยไม่ต้องมีหลักประกันเนื่องจากผู้ต้องหาเข้ามารายงานตัวเอง
ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้ นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จะตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาสำนวนก่อนจะมีคำสั่งต่อไป โดยนัดผู้ต้องหาทั้งหมดมาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 5 กันยายนหรือ 42 วันจากนี้
นับเป็น 42 วันที่ “โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” ลุ้นระทึกว่าเส้นทางเดินของคดีจะยุติลงโดยอัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือต้องเดินหน้าสู้คดีต่อ หากอัยการส่งสำนวนฟ้องสู่ศาลยุติธรรม หลังจากที่คดีนี้ยื้อกันมานาน จนเป็นที่จับตากันว่าจะทันฟ้องในอายุความ 15 ปี ที่จะครบกำหนดปลายปีนี้หรือไม่
คดีนี้ดีเอสไอเริ่มต้นการสอบสวนคดีฟอกเงินภายหลังคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยเป็นเหตุต่อเนื่องจากคดีทุจริตกรุงไทยปล่อยกู้กิจการในเครือกฤษดามหานคร ที่ตรวจสอบพบเส้นทางเงินจากการทุจริตปล่อยกู้ดังกล่าวกระจายไปยังกลุ่มคนต่างๆ จำนวนมาก จึงแยกฟ้องเป็นคดีฟอกเงิน มีการสอบปากคำพยานมากกว่า 100 ปาก แต่คดีไม่มีความชัดเจน เพราะมีหลักฐานพบว่า ในธุรกรรมทางการเงินจำนวนมากนั้น มีการสั่งจ่ายเช็คจากเงินสินเชื่อกรุงไทยไปเข้าบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร รวมอยู่ด้วย
กระทั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกผู้บริหารธนาคารกรุงไทยและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติสินเชื่อ รวมถึงผู้บริหารกฤษดา มหานคร ในคดีทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับเครือกฤษดามหานคร ซึ่งเป็นคดีหลัก การสอบสวนคดีฟอกเงินจึงค่อยเดินหน้า โดยพนักงานสอบสวนชุดใหม่ต้องเรียกผู้เกี่ยวข้องสอบปากคำใหม่เกือบทั้งหมด
ทั้งนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษและอัยการที่ร่วมสอบสวนคดีฟอกเงินจากทุจริตสินเชื่อกรุงไทย เป็นคดีพิเศษที่ 36/2560 มีมติให้ดำเนินคดีกับบุคคลและนิติบุคคล จำนวน 13 รายไปก่อน ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสรุปสำนวนการสอบสวนส่งไปยังพนักงานอัยการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560
ไม่รวมกรณีนายพานทองแท้ กับพวก ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีหนังสือเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2559 กล่าวโทษ ขอให้ดีเอสไอพิจารณาดำเนินคดีอาญากับนางเกศินี จิปิภพ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน นายวันชัยหงษ์เหิน และนายพานทองแท้ ชินวัตร รวม 4 คน ในความผิดฐานฟอกเงินเพิ่มเติม ซึ่งดีเอสไอรับไว้เป็นอีกคดี เป็นคดีพิเศษที่ 25/2560
มีการตั้งคณะพนักงานสอบสวนร่วมระหว่างดีเอสไอและอัยการจากสำนักการสอบสวน 3 รวมถึงที่ปรึกษาคดีพิเศษจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้สรุปสำนวนและมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายพานทองแท้กับพวก รวม 3 คน ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ส่วนนางเกศินี จิปิภพ มารดาของนางกาญจนาภาพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากเชื่อว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด โดยมีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงินเพราะลูกสาวและลูกเขยนำพอร์ตการลงทุนของนางเกศินี ไปใช้เล่นหุ้น
การต่อสู้คดีเป็นไปอย่างยืดเยื้อ ฝ่ายผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้ง ขู่ฟ้องกลับพนักงานสอบ สวน ร้องให้สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ พนักงานสอบสวน ผู้มีชื่อรับเงินจากกฤษดา มหานครทั้งหมด พุ่งเป้าเช็คสั่งจ่าย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ 2.5 แสนบาท และพล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป นาย ทหารคนสนิท พล.อ.เปรม 1 แสนบาท
กรณีสอบเส้นทางเงินพบว่าเป็นการจ่ายเงินโดยมีมูลหนี้จริงจะไม่สั่งฟ้อง ส่วนเช็คจาก นายวิชัย กฤษดาธานนท์ สั่งจ่าย พล.อ.เปรมนั้น พบว่านำเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษทันทีไม่ได้นำไปเข้าบัญชีส่วนตัว เป็นการบริจาคเพื่อการกุศล ส่วนเช็คสั่งจ่าย พล.ร.อ.พะจุณณ์ ชี้แจงได้ว่าเป็นค่า จัดงาน เลี้ยงรุ่นวปอ. ที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์ สำรองจ่ายไปก่อน
ส่วนเส้นทางเงินเดินถึงนายพานทองแท้นั้น ก้อนแรก 26 ล้านบาทเข้าบัญชีนายพานทองแท้ แต่สั่งระงับในวันเดียว แล้วสั่งจ่ายอีกครั้งเข้าบัญชี นางกาญจนาภา นายวันชัย และ นางเกศินี ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาโอนเงินลงทุนซื้อหุ้น แต่ก็ไม่พบว่ามีการคืนเงินหลังขายหุ้น ที่อ้างว่าทยอยคืนปากเปล่า ไม่มีหลักฐานประกอบ จึงไม่มีนํ้าหนักหักล้าง
อีกก้อน 10 ล้านบาทเข้าบัญชีนายพานทองแท้ ซึ่งภายหลังให้การว่า นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ โอนมาร่วมลงทุนธุรกิจรถยนต์หรู แต่ภายหลังยกเลิกแผนงานและคืนเงินไปแล้ว พนักงานสอบสวนเห็นว่า เป็นการโอนเงินทั้งที่ไม่มีแผนธุรกิจ ไม่จัดตั้งบริษัท อีกทั้งบัญชีนี้มีรายการเดียว โอนเข้ามาแล้วถอนออกไปใช้จ่าย พฤติการณ์เป็นการรับและใช้เงินที่ได้มาจากการ กระทำผิด
นายพานทองแท้ กับพวก ต้องสู้คดีอีกหลายยก ทั้งในชั้นความเห็นอัยการหรือในศาลยุติธรรม หากอัยการส่งฟ้อง เป็นอีกหนึ่งคดีของตระกูล “ชินวัตร” ไล่มาตั้งแต่ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่เป็นนักโทษหนีคดี หรือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ
สำหรับความผิดฐานฟอกเงิน มีโทษตามกฎหมาย จำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ