หุ้นไทยปี 68 ไม่ง่าย แต่ไม่ตาย รายย่อยยืนแนวหน้า ซื้อสุทธิ 1.56 แสนล้าน

30 ธ.ค. 2568 | 00:30 น.

ตลาดหุ้นไทยปี 2568 ไม่ใช่ปีของความหวือหวา แต่เป็นปีของการประคองพอร์ต รายย่อยเดินหน้าซื้อสุทธิกว่า 1.56 แสนล้าน สวนต่างชาติ ขณะที่หุ้นบางกลุ่มยังให้ผลตอบแทนเงินปันผลในระดับน่าพอใจ

KEY

POINTS

  • นักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ซื้อสุทธิเพียงกลุ่มเดียวในปี 2568 ด้วยมูลค่ากว่า 1.56 แสนล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนต่างชาติและสถาบันที่เทขายอย่างหนัก
  • ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเผชิญความผันผวนและแรงกดดันจากเงินทุนไหลออก ส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวลดลง แต่ไม่ทรุดตัวรุนแรงเพราะมีแรงซื้อจากรายย่อยคอยพยุง
  • แม้ตลาดโดยรวมจะซบเซา แต่ยังมีความน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอน

ตลาดทุนไทยในปี 2568 เดินอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างความผันผวนกับโอกาสลงทุน แม้แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติและสถาบันจะกดดันดัชนีอย่างต่อเนื่อง แต่ภาพรวมยังไม่ถึงกับมืดสนิท เมื่อ 'นักลงทุนรายย่อย' กลายเป็นแรงพยุงสำคัญ คอยรับแรงกระแทกแทบทุกจังหวะ ข้อมูล ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2568 สะท้อนชัดว่า ตลาดอาจซึม แต่ยังไม่สิ้นหวัง

จากการรายงานสถิติตลาดหุ้นไทยปี 2568 ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า ดัชนี SET ปิดที่ 1,260.68 จุด ลดลง 12.72 จุด ขณะที่ SET50 และ SET100 ปรับลงในทิศทางเดียวกัน สะท้อนแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและกระแสเงินทุนไหลออก อย่างไรก็ดี ตลาด mai กลับยืนบวกเล็กน้อยที่ 210.46 จุด บ่งชี้ว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กบางกลุ่มยังพอมีแรงส่ง

โดยมูลค่าตลาดรวมของ SET อยู่ที่ราว 15.94 ล้านล้านบาท ส่วน mai ประมาณ 2.09 แสนล้านบาท ด้านมูลค่าเหมาะสม SET ซื้อขายที่ P/E 15.46 เท่า ต่ำกว่า mai ที่ 58.48 เท่า สะท้อนความคาดหวังการเติบโตที่สูงขึ้น แต่ก็มาพร้อมความตึงตัวของราคา

รายย่อยผนึกกำลังรับของ

ภาพการซื้อขายตลอดปี (1 ม.ค.–16 ธ.ค. 2568) ชัดเจนว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิใน SET กว่า 1.08 แสนล้านบาท และขายใน mai เพิ่มอีกเล็กน้อย ขณะที่นักลงทุนสถาบันและบัญชีโบรกเกอร์ก็ขายสุทธิรวมกันกว่า 4.7 หมื่นล้านบาท

โดยกลุ่มเดียวที่สวนทางลม คือรายย่อยในประเทศ ซื้อสุทธิสะสมกว่า 1.56 แสนล้านบาทใน SET และอีกกว่า 1.2 พันล้านบาทใน mai บทบาทนี้ทำให้ตลาดไม่ทรุดตัวแรงกว่านี้ รายย่อยอาจไม่ใช่พระเอกทุกฉาก แต่ปีนี้คือแนวหลังที่ตลาดขาดไม่ได้

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม มูลค่าการซื้อขายแบ่งตามประเภทนักลงทุน พบว่า ในช่วง 235 วันทำการของปี 2568 นักลงทุนภายในประเทศเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มีสถานะซื้อสุทธิรวม 156,838.11 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ที่ 101,434.07 ล้านบาท ลดลง 55,404.04 ล้านบาท หรือ 54.62% 

ส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือ ได้แก่ นักลงทุนต่างประเทศ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนสถาบัน มีสถานะขายสุทธิ อยู่ที่ 108,447.31 ล้านบาท (ลดลง 38,402.92 จากปีก่อนที่ 146,850.23 ล้านบาท หรือ -26.15%) , 12,323.62 ล้านบาท และ 36,067.18 ล้านบาท ตามลำดับ

IPO น้องใหม่หดตัว

แม้ความผันผวนจะสูง แต่การขยายตัวเชิงโครงสร้างยังเดินต่อ ปัจจุบัน SET มีบริษัทจดทะเบียน 639 บริษัท และ mai อีก 230 บริษัท ปี 2568 นี้ มี IPO เข้าตลาด SET 6 บริษัท ได้แก่ TURBO ONSENS ATLAS MASTEC MRDIYT และ SMO

และ mai 12 บริษัท (รวมกองทุนและ REIT) ได้แก่ PIS MOTHER LTMH BKA NUT HANN SKIN 88TH IDG WASH MMM และ NTF ในขณะที่ฐานนักลงทุนในปี 2568 ยังขยายต่อเนื่อง มีบัญชีซื้อขายรวมกว่า 3.85 ล้านราย 

ทั้งนี้ จำนวนหุ้น IPO ที่เรียงคิวเข้าระดมทุนในปี 2568 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีจำนวนหุ้น IPO เข้าระดมทุนรวม 32 หลักทรัพย์ แบ่งเป็นตลาด SET จำนวน 14 หลักทรัพย์ และตลาด mai จำนวน 18 หลักทรัพย์

'ปันผล' ที่พักเงิน...ในวันที่ตลาดไม่เป็นใจ

ท่ามกลางราคาหุ้นที่แกว่งแรง ผลตอบแทนเงินปันผลยังเป็นจุดเด่นที่จับต้องได้ SET ให้ Dividend Yield เฉลี่ย 3.71% ส่วน mai สูงถึง 4.11% สำหรับนักลงทุนที่มองกระแสเงินสด นี่คือร่มเงา ที่ช่วยประคองพอร์ตในปีที่แดดแรงและฝนหนัก

สรุปแล้ว ปี 2568 ไม่ใช่ปีแห่งความหวือหวา แต่เป็นปีแห่งความอึด ตลาดถูกทดสอบด้วยเงินทุนไหลออก ขณะที่รายย่อยเลือกยืนหยัด หุ้นอาจไม่วิ่ง แต่เงินปันผลยังเดิน และโครงสร้างตลาดยังขยับ.