KEY
POINTS
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนเดินทางไปพบนักลงทุนสถาบันที่ฮ่องกงภายในช่วง 1 - 2 วันนี้ ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์อาเซียน (ASEAN Exchanges)
โดยวัตถุประสงค์หลักๆ เพื่อเดินทางไปพูดคุยและเรียนรู้ว่ากลุ่มนักลงทุนน่างประเทศใความสนใจอะไรบ้าง และอยากจะเห็นอะไร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดหลักทรัพย์อาเซียนด้วยกันที่เรียกว่าจะสร้างความสนใจให้กับผู้ลงทุนได้มากขึ้น
การเดินทางไปพบนักลงทุนสถาบันที่ฮ่องกงในครั้งนี้ เป็นการไปพบปะลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์อาเซียน ซึ่งกลุ่มนักลงทุนที่จะไปเจอคงสนใจเรื่องกฎเกณฑ์หรือโครงสร้างของตลาด (Market Structure) มากกว่าที่เป็นเรื่องปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อราคาหุ้น ทั้งนี้ อันที่จริงเราก็มีพูดคุยกับทางภาครัฐว่าอยากจะจัดโรดโชว์ของประเทศด้วยเหมือนกัน
ทั้งนี้ มองว่าปัจจุบันจุดขายของตลาดหลักทรัพย์ฯไทย คือ โครงการ Jump+ ซึ่งล่าสุดมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เข้ามาร่วมแล้ว 67 บริษัท โดยจะมีการนำแผนงานของแต่ละบริษัทออกไปสื่อสารให้กับนักลงทุนฟังเพื่อให้เห็นว่าเป้าหมายที่คาดหวังต่อบริษัทคืออะไรภายใน 3 ปีข้างหน้า
รวมถึงจะมีการสื่อสารต่อเนื่องเพื่ออัพเดตว่าบริษัทเดินตามแผนไปถึงไหนแล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะต้องผลักดันเพื่อกลยุทธ์ต่างๆที่สรุปมาได้และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทนั้นๆจะนำไปสื่อสารกับผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศด้วย
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มองว่ามีศักยภาพในการแข่งขันที่ชัดเจนที่จะเติบโตได้คือ 1.การดูแลสุขภาพ (Healthcare) และ 2.เทคโนโลยีอาหาร (Food Tech) ซึ่งมองว่าน่าจะเป็นกลุ่มอนาคตที่สำคัญของประเทศ เพราะหลายรัฐบาลอยากจะผลักดันให้ประเทศไทยยกศักยภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มในด้านอาหาร ซึ่งเรามีความรู้ความสามารถค่อนข้างมากอยู่แล้ว
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า นวโน้มฟันด์โฟลว์ต่างชาตินั้น มองว่าตอนนี้สินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญคือ 7 หุ้นนางฟ้าของสหรัฐฯ และทองคำ แต่เริ่มเห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดประเทศเกิดใหม่มากขึ้น
ส่วนประเทศไทยเชื่อว่ายังไงนักลงทุนต่างชาติก็ยังสนใจ แต่อาจรอดูสตอรี่ก่อน จึงเป็นจังหวะที่อาจเกิดการไหลกลับเข้ามาได้ แม้หลักๆ ตอนนี้จะไหลไปยังตลาดสหรัฐฯ อยู่ แต่อย่างไรก็ดี ไม่อยากให้กังวลเม็ดเงินต่างชาติมาก เพราะหากกลับมาเยอะก็กลัวว่าเงินบาทจะแข็งค่าอีก โดยอยากให้ดูที่ปัจจัยพื้นฐาน เช่น การเติบโตของจีดีพีหรือกำไรของบริษัทจดทะเบียนมากกว่า
สำหรับภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกันยายน 2568 การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลต่อ SET Index ในวงจำกัด เนื่องจากผู้ลงทุนส่วนใหญ่ประเมินว่าเป็นเพียงปัจจัยภายนอกระยะสั้นที่อาจสร้างความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนชั่วคราวเท่านั้น
โดยปัจจัยสำคัญที่ควรติดตาม ได้แก่ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่มุ่งเน้นหลักการ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” ผ่านนโยบาย “Big Quick Win” รวมถึงความร่วมมือกันของหลายภาคส่วนในการปฏิรูปเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย
นอกจากนี้ ยังเห็นโอกาสการฟื้นตัวต่อเนื่องของ SET Index ในช่วงที่เหลือของปี 2568 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากบริษัทจดทะเบียนที่กลับมาระดมทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนเพิ่มขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่เข้าจดทะเบียนใหม่ในวันแรกที่ค่อนข้างสูง แสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับแรงขายจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เริ่มชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนกันยายน 2568 ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,274.17 จุด เพิ่มขึ้น 3.0% จากสิ้นเดือนก่อน โดยตั้งแต่ต้นปี SET Index ปรับลดลง 9.0% กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ดานมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 43,155 ล้านบาท ลดลง 31.0% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี อยู่ที่ 43,028 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 11,859 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนกันยายน 2568 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 96,243 ล้านบาท
นอกจากนี้ เดือนกันยายน 2568 ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 47.06% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ขณะที่ผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายที่ 37.63% ของมูลค่าการซื้อขายรวม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 33.98%
โดยอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 3.86% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.02% ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกันยายน 2568 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เงินเทอร์โบ (TURBO) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.สกิน ลาบอราทอรี่ (SKIN)
ในส่วน Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 13.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.1 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 16.0 เท่า
สำหรับภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนกันยายน 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 457,290 สัญญา เพิ่มขึ้น 23.7% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures, SET50 Index Options, Gold Online Futures และ Currency Futures
อย่างไรก็ดี ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 423,887 สัญญา ลดลง 12.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures
"ที่ดัชนีเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น +3% แต่วอลุ่มซื้อขายยังต่ำกว่าเมื่อเทียบปีก่อน หลักๆ เป็นผลมาจากการเข้าไปลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ เป็นตัวที่ทำให้ดัชนีขยับขึ้นในรอบที่ผ่านมา บางเซกเตอร์ได้อานิสงส์จากทั่วโลก โดยเฉพาะอิเล็กฯ Emerging Markets เพิ่งได้รับอานิสงส์ในช่วงดอกเบี้ยลดลง เม็ดเงินเริ่มไหลมาที่ Emerging Markets มากขึ้น แต่หลักๆ ก็ยังคงอยู่สหรัฐฯ แต่อย่างไรนักงทุนต่างชาติก็ยังคงมองไทยอยู่ มองว่าเป็นจังหวะและมีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลกลับเข้ามา เริ่มมีสัญญากลับเข้ามาเป็นบางวัน มีปัจจัยเรื่องของค่าเงินบาทเข้ามามีส่วน รวมถึงสตอรี่การเติบโตของไทย"