ตลท. ดัน Jump+ ยกระดับ บจ.ไทย ดึง IPO-ธุรกิจใหม่ สร้างเสน่ห์ตลาดทุน

06 ต.ค. 2568 | 09:08 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ต.ค. 2568 | 09:08 น.

ตลท. เดินหน้าโครงการ Jump+ เร่งยกระดับบจ. ไทย พร้อมดันการระดมทุนของ Start up – SME – ธุรกิจ New Economy ด้าน FETCO เตรียม "บัญชีออมลงทุน TISA" เสนอคลัง หวังสร้างฐานนักลงทุนระยะยาว ดัน ตลาดทุนไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนใหม่ในภูมิภาค

KEY

POINTS

  • ตลท. เร่งดำเนินโครงการ Jump+ เพื่อยกระดับคุณภาพและศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนไทยให้เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน
  • ผลักดันการระดมทุน (IPO) ของบริษัทขนาดกลางและเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Economy) และสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างการเติบโตใหม่ให้ตลาดทุน
  • ร่วมมือกับ BOI และ ก.ล.ต. เพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์และดึงดูดบริษัทต่างชาติในกลุ่ม New S-Curve ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ใน 4 เดือนข้างหน้า สิ่งที่จะเร่งทำให้กับตลาดทุนไทย คือ จะการเดินหน้ายกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ผ่านโครงการ Jump+ ซึ่งปัจจุบันมีบจ. ที่เข้าร่วมโครงการแล้วประมาณ 61 บริษัท

ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากนี้น่าจะมีบริษัทจดทะเบียนไทยเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าปลายปี 2568 นี้ หรือในไตรมาส 1/2569 ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถเปิดเผยถึงแผนของบริษัทที่เข้ามาร่วมโครงการดังกล่าวจะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง

รวมถึงการเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการสร้างความสนใจของนักลงทุน และตลาดทุนไทยได้มากขึ้น พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเดินหน้าผลักดันการระดมทุนของบริษัทขนาดกลางและเล็ก โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ (Startup), SME หรือธุรกิจใหม่ (New Economy) มากขึ้นด้วย

มองว่าธุรกิจใหม่ จะเข้ามาช่วงสร้างการเติบโตใหม่ (New Growth) ให้กับตลาดทุนไทย และมีช่วยช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นให้กับนักลงทุน ซึ่งเป็นความตั้งใจของตลาดหลักทรัพย์ฯ 

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO กล่าวว่า ตลาดทุนไทยเองก็จะเร่งผลักดัน Thai Individual Saving Account (TISA) คาดจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นหลังมีรัฐบาลใหม่เข้ามา เพื่อมุ่งตอบโจทย์การลงทุนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการออมเพื่อเกษียณอายุ SSF, การออมเพื่อการลงทุนโดยเฉพาะในด้าน ESG ตลอดจนการลงทุนส่วนบุคคล และการออมสำหรับเยาวชน

โดยคาดว่าจะมีการนำเสนอต่อกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาได้เร็วๆ นี้ หลังจากที่ได้มีการยื่นหนังสือเพื่อขอเข้าหารือไปแล้ว ทั้งนี้ หากได้ข้อสรุปในเดือนธันวาคมนี้ ก็อาจเห็นสิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือมาตรการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนผ่าน TISA ได้ทันปีนี้ แต่หากไม่ทันจะเป็นปี 2569 แทน      

ส่วนเรื่องของการ IPO บริษัทใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดทุนไทยนั้น ที่ผ่านมาทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการเจรจากับทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ไปพอสมควรแล้ว เพื่อชักชวนให้บริษัทต่างชาติที่เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่มีความสนใจเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

ซึ่งหากว่าปลดล็อคกฎเกณฑ์ของทางสำนักงาน ก.ล.ต. และบีโอไอ ได้เร็ว มีธุรกิจใหม่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ราว 1 - 2 บริษัท เชื่อว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดความน่าสนใจของนักลงทุนไทยและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย และผลักดดันเป้าหมายดัชนี และปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

จากการพูดคุยกับทาง BOI ในชวงที่ผ่านมาก็พบว่า อันที่จริงแล้วบริษัทต่างชาติจากหลายประเทศมีความสนใจเข้ามาลงทุนยังประเทศไทย ทั้งการขยายทั้งในแง่ของซัพพลายเชน (Supply Chain) รวมถึงมีเป้าหมายเข้ามาระดมทุนยังตลาดทุนไทย ที่ผ่านมาก็มีทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน และจีน ที่ให้ความสนใจ จากนี้เราอาจต้องเร่งปรับเกณฑ์ต่างๆ ให้เร็ว ต้องมีความรัดกุมและต้องทันต่อเหตุการณ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็เป็นความตั้งใจของตลาดทุนไทยมาโดยตลอด

เมื่อถามว่าในระยะเวลา 4 เดือนก่อนที่จะมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ จากนี้จะเร่งผลักดันให้โครงการใดเกิดขึ้นได้บ้าง ดร.กอบศักดิ์ ให้คำตอบว่า เนื่องจากระยะเวลา 4 เดือน ที่ไม่ได้นานมากมัก แต่หากปลดล็อคบางอย่างได้ ก็จะเปลี่ยนแปลงระยะยาวให้กับเราได้

โดยหนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจ คือ การ IPO ของ New Growth โดยขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI มีบริษัทจำนวนมากทั่วโลก ที่อยากจะมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็น Sector New S-Curve

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO

ทั้งนี้ หากดูบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่เป็น SET100 ส่วนมากจะเป็นธุรกิจเดิมที่อยู่มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มปิโตรเคมี หรือธนาคาร แต่หาที่เป็น New Sector ไม่ได้ ทำให้มองว่าหากสามารถร่วมมือกับทาง BOI และสามารถปรับกระบวนการของการ IPO ได้ คาดว่าในระยะยาวเราจะมีบริษัทที่ตอบโจทย์นักลงทุนมากขึ้น

โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมาเห็นว่าทางตลาดหลักทรัพย์ ก็ได้มีการเจรจากับ BOI หลายครั้งแล้ว คงเหลือในเรื่องของการปรับกฎเกณฑ์ทั้งทาง ก.ล.ต. และ BOI ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเห็นได้ภายใน 4 เดือนนี้เช่นกัน