KEY
POINTS
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในสัปดาห์นี้ (15 - 17 ต.ค. 68) เคลื่อนไหวในกรอบ 1,270 - 1,300 จุด ท่ามกลางแรงกดดันจากหุ้น DELTA ที่ยังอยู่ภายใต้มาตรการ Trading Alert T1 ส่งผลให้เกิดแรงขายต่อเนื่องในกลุ่มเทคโนโลยี
ประกอบกับจากประเด็นที่ทางประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยังไม่ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ทำให้ตลาดขาดปัจจัยบวกจากฝั่งต่างประเทศ แม้ว่า FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 94.6% ในการคาดการณ์ว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75 - 4.00% ในการประชุมวันที่ 28 - 29 ต.ค. 68 นี้
ปัจจัยในประเทศยังมีน้ำหนักต่อการพยุงดัชนี โดยเฉพาะการแถลงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย ซึ่งอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ออกมาในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ 'มาตรการคนละครึ่งพลัส' ที่จะเปิดให้ลงทะเบียนวันที่ 20 - 26 ต.ค. 68 และเริ่มทยอยใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. ถึง 31 ธ.ค. 68 นั้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 เติบโต และภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัว ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ และสนับสนุนธุรกิจภาคการค้าและบริการ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ด้านสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์อย่างยืดเยื้อ ขณะที่การเจรจาระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครตเกี่ยวกับร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณชั่วคราวยังไม่มีความคืบหน้า ทำให้ตลาดขาดความมั่นใจในเสถียรภาพทางการคลังของประเทศมหาอำนาจ
ขณะเดียวกัน นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กล่าวเปิดการประชุมว่าด้วยธนาคารชุมชน โดยไม่ได้กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจหรือทิศทางนโยบายการเงินของ FED แต่อย่างใด ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินทั่วโลก
สำหรับเศรษฐกิจไทย ธนาคารซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่า GDP ปี 68 จะเติบโตเพียง 2.2% ก่อนจะชะลอลงเหลือ 1.6% ในปี 69 จากแรงกดดันด้านการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว การลงทุนภาคเอกชนที่ยังจำกัด และภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับสู่ระดับศักยภาพที่คาดหวัง
และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ประเมินว่า GDP ไทยปีนี้จะเติบโตเพียง 2% โดยครึ่งปีแรกเติบโตแล้ว 3% แต่ครึ่งปีหลังคาดว่าจะโตเฉลี่ยเพียง 1% โดยเฉพาะในไตรมาส 3 และ 4 ที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.7% และ 0.3% ตามลำดับ
นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวเสริมว่า จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มอาหารรับอานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่ CPF, TU, ITC, BTG และ TFG ส่งผลให้ราคาหุ้นคึกคัก
รวมถึงหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ได้อานิสงส์รัฐบาลไฟเขียวโครงการนำร่อง Direct PPA ดึงต่างชาติลงทุน Data Center และอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด คาดเปิดประมูลในเดือนธันวาคม 68 โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ได้แก่ GULF, BGRIM, GPSC, EGCO และ RATCH เป็นต้น