'คนละครึ่งพลัส' เงินสะพัด 4.4 หมื่นล้าน หุ้นค้าปลีก-อาหาร รับอานิสงส์

12 ต.ค. 2568 | 06:31 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ต.ค. 2568 | 06:32 น.

โบรกส่อง คลังเคาะมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” งบ 4.4 หมื่นล้าน กระตุ้นกำลังซื้อปลายปี หนุนเม็ดเงินสะพัดทั่วประเทศ ดันหุ้นค้าปลีก–อาหาร–บรรจุภัณฑ์–ธนาคาร คึกคักรับอานิสงส์

KEY

POINTS

  • ครม. อนุมัติโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ด้วยงบประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในประเทศ
  • ประชาชนจะได้รับวงเงินสนับสนุน 2,000-2,400 บาทต่อคน โดยสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วม รวมถึงสั่งอาหารผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่ได้
  • มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลดีโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มร้านอาหาร และกลุ่มบรรจุภัณฑ์

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองต่อ มาตรการ 'คนละครึ่งพลัส' ว่า หลังจากที่ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผย ครม. เห็นชอบโครงการ “คนละครึ่งพลัส” งบรวม 4.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามคาดว่าสั่งฟู้ดเดลิเวอรี่ได้

โดยวงเงินต่อราย ประชาชนที่อยู่ในระบบภาษี 2,400 บาทต่อราย (รัฐสมทบ 60% และประชาชน 40%), ประชาชนทั่วไป 2,000 บาทต่อราย (รัฐสมทบ 50% และ ประชาชน 50%) จ่ายได้ไม่เกินวันละ 200 บาท

Timeline 'คนละครึ่งพลัส'

  • 15 ต.ค. 2568 : เปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ
  • 20-26 ต.ค. 2568 : เปิดให้ประชาชนลงทะเบียน
  • 29 ต.ค. - 31 ธ.ค. 2568 : ระยะเวลาใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่งพลัส สำหรับซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ
  • 7 พ.ย. - 31 ธ.ค. 2568 : สำหรับการซื้ออาหาร หรือเครื่องดื่ม ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร หรือฟู้ดเดลิเวอรี่ แพลตฟอร์ม ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง เวลา 06.00-21.00 น.

ทั้งนี้ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13 ล้านคน ไม่ได้สิทธิคนละครึ่ง โดยรัฐบาลจะเติมเงินให้ครั้งเดียว 1,700 บาท จากเดิม 300 บาท รวมเป็น 2,000 บาท ใช้ได้ พ.ย. - ธ.ค. ใช้จ่ายตามวงเงินที่ซื้อจริง

เปิดโผหุ้นรับอานิสงส์

จากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ทางฝ่ายมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อมาตรการ 'คนละครึ่งพลัส' โดยหุ้นได้รับประโยชน์ ได้แก่ 

กลุ่มค้าปลีก :

  • CPAXT (ซื้อ/เป้า 25.00 บาท) และ BJC ได้รับประโยชน์มากสุดเนื่องจากร้าน Traditional Trade ซึ่งเป็นจุดหมายหลักในการใช้คนละครึ่งพลัส ซื้อสินค้าจากที่นี่
  •  TNP เป็นร้านค้าท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการในครั้งก่อน โดยมีสาขา 51 สาขาในภาคเหนือ 

กลุ่ม food & beverage : ได้รับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น 

  • CBG (ซื้อ/เป้า 79.00 บาท) สัดส่วนรายได้ domestic branded own 32% ของรายได้รวม 
  • OSP (ซื้อ/เป้า 21.00 บาท) สัดส่วนรายได้ domestic beverage 53% ของรายได้รวม
  • SAPPE (ถือ/เป้า 36.50 บาท) สัดส่วนรายได้ domestic ที่ 31% ของรายได้รวม
  • ICHI สัดส่วนรายได้ domestic 90% ของรายได้รวม
  • SNNP (ซื้อ/เป้า12.50 บาท) สัดส่วนรายได้ domestic 81% ของรายได้รวม โดยเป็น MT 68% และ TT 32%

กลุ่มสินค้าอุปโภค : 

  • NEO (ถือ/เป้า 22.40 บาท) สัดส่วนรายได้ domestic 90% ของรายได้รวม
  • OSP (ซื้อ/เป้า 21.00 บาท) สัดส่วนรายได้ domestic ประมาณ 10% ของรายได้รวม

กลุ่มร้านอาหาร :

  • MAGURO (ซื้อ/เป้า 33.00 บาท) คาดได้ประโยชน์จากการสั่ง food delivery โดยมีร้านอาหารในเครือ 7 แบรนด์
  • M, ZEN และ OKJ คาดได้ประโยชน์จากการสั่ง food delivery ผ่าน food delivery platform 

กลุ่ม Packaging : 

  • EPG (ซื้อ/เป้า 4.20 บาท) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ได้ประโยชน์จากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นและฟู้ดเดลิเวอรี่
  • KTB (ซื้อ/เป้า 27.00 บาท) ได้ประโยชน์จากการใช้แอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง”

อย่างไรก็ตาม มาตรการ 'คนละครึ่งพลัส' ถูกมองว่าเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/2568 ซึ่งเป็นฤดูกาลจับจ่าย และเมื่อเปิดให้สั่ง 'ฟู้ดเดลิเวอรี่' ได้เป็นครั้งแรก ยิ่งขยายฐานผู้ใช้สู่กลุ่มคนเมืองและวัยทำงาน

รวมถึงเพิ่มโอกาสกระจายรายได้ให้ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร และผู้ให้บริการขนส่งอาหาร ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่ามาตรการนี้จะหนุนกำไรกลุ่มบริโภคฟื้นตัวในระยะสั้น พร้อมสร้าง sentiment เชิงบวกต่อตลาดโดยรวมส่งท้ายปีนี้