KEY
POINTS
กระแสในสื่อสังคมออนไลน์ช่วงที่ผ่านมา เกิดการจับตาดีลการซื้อหุ้น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP โดย บริษัท อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี จำกัด (Alpha Chartered Energy : ACE) และมีการเชื่อมโยงไปถึง Chartered Group จนถูกตั้งคำถามว่าเป็นการ “ขายพลังงานชาติให้ต่างชาติ”
ล่าสุด นายณัฐกร อธิธนาวานิช กรรมการ ACE ออกมาเปิดใจไขข้อสงสัยว่า ตนเองและ Chartered Group รู้จักกันมากว่า 10 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ทำงานอยู่กับบริษัท McKinsey & Company (Thailand) ขณะที่ Chartered Group บริษัท Private Equity (PE) ที่ลงทุนในทรัพย์สินของบริษัทต่าง ๆ ทั้งที่จดทะเบียน และไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผู้ก่อตั้งเป็นชาวอิสราเอล ภรรยาเป็นชาวญี่ปุ่น ลงทุนในภาคการเงินญี่ปุ่นมานานกว่า 20-30 ปี แล้ว
แต่วิธีการทำงานต่างจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ทั่วไป โดยเน้นการ "ซื้อ-ซ่อม-สร้างมูลค่า" คือเข้าซื้อกิจการแล้วลงมือปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งหมด (เช่น เจรจากับธนาคาร, ปรับปรุงพนักงานและระบบปฏิบัติการ) จนบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้น แล้วจึงนำกลับเข้าตลาดหรือขาย มีขนาดและการลงทุนทั่วโลก ประมาณ 4-5 แสนล้านบาท โดยปกติลงทุนในหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, ลักเซมเบิร์ก, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, อิสราเอล และ “ประเทศไทย” เป็นน้องใหม่
ธุรกิจหลักของ Chartered Group แบ่งออกเป็น ด้านการเงิน ทำธุรกิจหลักทรัพย์และเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อน รวมถึงการให้กู้ยืมเพื่อพัฒนาโครงการ ด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น สกีรีสอร์ตในนิเซโกะ และโรงแรมหรูอย่าง Aman (เช่น Aman Kyoto ที่ใช้เวลาสร้างถึง 20 ปี)
ด้านเทคโนโลยี ลงทุนใน Deep Technology จากอิสราเอล ที่นำไปใช้ในญี่ปุ่น เช่นการใช้ GPS และ ดาวเทียมตรวจจับการเอียงของอาคารเพื่อประเมินความเสี่ยงในการประกันภัย และ เทคโนโลยีจดจำพฤติกรรม (คล้าย AI) สำหรับงานตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่น เพื่อระบุผู้ต้องสงสัยโดยเรียนรู้จากพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์
ย้อนที่มา ACE อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่คนไทย
“ณัฐกร” เล่าว่า ด้วยความที่รู้จักกันมาก่อนเมื่อ Chartered Group สนใจลงทุนในประเทศไทยโดยตั้งใจใช้ประเทศไทยเป็นฐานขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย
Chartered Group จึงเลือกเขาเป็นโลคัล พาร์ทเนอร์ จัดตั้ง ACE ขึ้นเพื่อใช้เป็นบริษัทใน การลงทุน โดยมีอำนาจควบคุมใน ACE ทั้งในระดับคณะกรรมการบริษัทและที่ประชุมผู้ถือหุ้น และมีอำนาจตัดสินใจเต็มรูปแบบในการลงทุน รวมถึงการคัดเลือกบริษัทเป้าหมาย การทำ Due Diligence การบริหารและติดตามกิจการ ที่ลงทุน ตลอดจนการพิจารณาส่งกรรมการผู้แทนในบริษัทที่ลงทุน
โครงสร้าง “อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี” หรือ ACE คือบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท อัลฟ่า โกลบอล จำกัด (Alpha Global) สัดส่วนการถือหุ้น 51% โดย “ณัฐกร” เป็นเจ้าของ 100 % และ อังกอร์ อิสชูแอนซ์ เอส เอ (Encore Issuances S.A.) บริษัทในเครือ Chartered Group สัดส่วนการถือหุ้น 49% ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ “ณัฐกร”
ทำไมต้องเป็น “บางจาก”
“ณัฐกร” อธิบายถึงสาเหตุที่ต้องเป็นการลงทุนในบางจาก หรือ BCP เพราะประเทศไทยไม่มีของให้ลงทุน เขาขยายความว่า เดิมทีตั้งใจซื้อบริษัทนอกตลาด แต่ด้วยขนาดเงินลงทุนหลักพันล้าน การหาบริษัทนอกตลาดที่มีขนาดใหญ่พอในประเทศไทยเป็นไปได้ยาก และตลาดหุ้นไทย ก็ไม่เอื้อต่อการนำบริษัทที่ปรับปรุงแล้วเข้าตลาด จึงเปลี่ยนกลยุทธ์เป็น "ซื้อบริษัทในตลาดแล้วซ่อมให้ดีไปเลย" ซึ่งแตกต่างจาก Private Equity ทั่วไป
ประกอบกับตัวเขาเองก็อยู่ในวงการพลังงานมาก่อน เพราะเป็นอดีตที่ปรึกษาบริษัท McKinsey & Company มีลูกค้าเป็น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และ เขาเคยทำงานที่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC มีประสบการณ์โดยตรงในโครงการสำคัญเกี่ยวกับการพลิกฟื้นโรงกลั่นและปิโตรเคมี IRPC ให้มีมูลค่า จาก 3-4 พันล้าน เป็นหมื่นล้านเป็นเวลา 4-5 ปี ติดกัน
ส่วนแหล่งที่มาเงินทุน ที่หลายคน “สงสัย” ว่ามาจากไหนนั้น “ณัฐกร” เล่าว่า ACE ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินแบบไม่มีหลักประกันจากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้รับการรับรองและอนุญาตจาก Monetary Authority of Singapore (MAS) การสนับสนุนดังกล่าวเกิดจากความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และความน่าเชื่อถือของ Chartered Group โดยการจัดหาเงินทุนดังกล่าวเป็นไปอย่างโปร่งใสและปฏิบัติตามกฎระเบียบ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
อยากเห็นบางจากเป็นพื้นที่ของ SME
เมื่อกระบวนการซื้อเสร็จสิ้น เขาจึงได้เข้าไปนั่งเป็นกรรมการพร้อมกับ Dr. Tomas Koch อดีต Senior Partner ของ McKinsey & Company เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง และมี ประสบการณ์กว่า 33 ปี ในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์องค์กร การเติบโต การยกระดับประสิทธิภาพ และการ เปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล โดยมีประสบการณ์ในโครงการมากกว่า 300 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงานและเคมีภัณฑ์ทั่วเอเชีย
ที่สำคัญได้ชักชวน นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ อดีตผู้บริหาร IRPC ที่เคยแก้วิกฤตมาด้วยกัน รวมถึง นายไพโรจน์ กวียานันท์ อดีต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด มานั่งเป็นบอร์ดด้วย
การเข้ามานั่งเป็นบอร์ดครั้งนี้ สิ่งสำคัญที่อยากให้เกิดคือ เปลี่ยนปั๊มบางจากให้เป็น "พื้นที่ชุมชน" ที่เปิดโอกาสให้ SME และผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้ามาเสนอสินค้าและบริการ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ไม่ได้จำกัดแค่ อินทนิล เพื่อให้ SME ในท้องถิ่นมีโอกาสเติบโต คนในชุมชนได้ซื้อของราคาไม่แพง เหมือนธงฟ้า อยู่ใกล้บ้าน
อีกสิ่งที่อยากเห็นคือ การปลดล็อกมูลค่าทรัพย์สิน โดยพิจารณาใช้ที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบางจาก (ซึ่งมีมูลค่าซ่อนอยู่เกือบหมื่นล้านบาท) เพื่อพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่น หรือรวมปั๊มเก่าเพื่อสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ขนาดใหญ่ ซึ่งต้องยอมรับว่า ปั๊มเอสโซ่ ที่บางจากซื้อมา เป็นที่ดินที่ซื้อมาในทำเลทองทั้งสิ้น ตรงนี้จะสามารถสร้างมูลค่าได้
ส่วนธุรกิจพลังงาน อาจต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุนใน Hydro-power เน้นการลงทุนในต่างประเทศแทนการแข่งขันในประเทศ รวมถึงการสร้างแบรนด์น้ำมัน เน้นการโปรโมทคุณภาพของน้ำมันบางจากที่ถูกออกแบบมาสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งจากการทดสอบมีผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมและมีน้ำมัน 97 ออกเทนที่เหนือกว่า 95 ออกเทนทั่วไป
อนาคตของบางจาก คือ ต้องเป็นบริษัทพลังงานของไทย ที่ไปตีตลาดต่างประเทศ และการแข่งขันต้องเสรี เป็นธรรม และประชาชนได้ประโยชน์
สรุป... การเข้าซื้อบางจากโดย Alpha Charter เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท Private Equity ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการพลิกฟื้น และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท โดยมีผู้บริหารชาวไทย คือ “ณัฐกร” เป็นแกนนำและมีประสบการณ์ในภาคพลังงานอย่างลึกซึ้ง และมีแผนการปรับปรุงธุรกิจที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ การขยายสู่ภูมิภาค และการสร้างประโยชน์ร่วมกับชุมชนและ SME ควบคู่ไปกับการชี้แจงข้อสงสัยและข่าวลือต่างๆ