Resilience Over Return: สร้างพอร์ตลงทุนที่ “รอด” ก่อน “รวย”

10 ก.ย. 2568 | 04:44 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ย. 2568 | 04:44 น.

Resilience Over Return: สร้างพอร์ตลงทุนที่ “รอด” ก่อน “รวย” : คอลัมน์ Investing Tactic โดย นายสาวิทย์ สมปอง (โค้ชวิทย์) วิทยากรพิเศษ โครงการ SITUP

ในโลกที่ข้อมูลเคลื่อนไหวเร็วกว่าความคิด และข่าวลือดังเร็วกว่าความจริง การจะอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคงจึงไม่ใช่แค่ 

“วิเคราะห์เก่ง” แต่ต้องมีระบบที่ “ทนแรงกระแทก” ได้ด้วย

หลายคนเทรดเก่งก็จริง แต่กลับวางพอร์ตไม่เป็น ผิดแค่ 2–3 ครั้ง พอร์ตเสียหายหนักจนไปต่อไม่ไหว 

วันนี้เราไม่ได้จะพูดแค่เรื่องการทำกำไร แต่จะชวนคุณมาออกแบบ “พอร์ตที่อยู่รอดได้” เพราะนักลงทุนที่รอด…คือคนที่มีสิทธิ์

“รวย” เมื่อตลาดกลับมา

“รอดก่อน แล้วค่อยรวย”

เวลาตลาดดี ทุกคนดูเหมือนอัจฉริยะ แต่เวลาตลาดแย่ น้อยคนที่จะเหลืออยู่

การจัดพอร์ตที่มี Buffer ไม่ได้ทำให้คุณโตช้า แต่มันทำให้คุณ "ไม่ต้องถอยหลังสุดขอบ" ทุกครั้งที่เจอคลื่นแรง 

“Not every trade must win. But every portfolio must survive. Survival is strategy.” 

“ไม่ใช่ทุกเทรดต้องชนะ แต่ทุกพอร์ตต้องรอด — การเอาตัวรอดคือกลยุทธ์” 

การอยู่รอดจึงไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่มันคือ “กลยุทธ์”

Buffer คืออะไร?

Buffer ในที่นี้ หมายถึง "กันชนเชิงกลยุทธ์" เช่น การวางเงินทุนแบบเผื่อความผิดพลาด, การไม่ทุ่มพอร์ตกับหุ้นตัวเดียว, การตั้ง Stop-Loss ที่ชัดเจน 

ทั้งหมดนี้คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณ “พลาดได้โดยพอร์ตไม่พัง” 

พูดง่าย ๆ คือ พอร์ตยังอยู่ แม้แผนจะไม่สมบูรณ์ 

เริ่มต้นด้วย “Position Size ที่ยืดหยุ่น” 

หนึ่งในความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุด คือ “เทรดหนักเกินไปเพราะมั่นใจเลยจัดเต็ม!” แต่ลืมไปว่า…ตลาดไม่เคยเข้าข้างใคร 

Resilience Over Return: สร้างพอร์ตลงทุนที่ “รอด” ก่อน “รวย”

แนวคิดง่าย ๆ ที่ช่วยได้มากคือ: 

เสี่ยงไม่เกิน 1–2% ของพอร์ต ต่อหนึ่งเทรด 

เช่น ถ้าคุณมีพอร์ต 100,000 บาท  เทรดหนึ่งไม่ควรขาดทุนเกิน 2,000 บาท

ถ้าเทรดหลายตัวพร้อมกัน ยอดรวม “ความเสี่ยง” ของทุกตัวรวมกัน ต้องไม่เกิน 2% ของพอร์ต

เช่น เทรด 3 ตัว ขาดทุนตัวละ 700 บาท รวม 2,100 ก็ถือว่าเกินแล้ว 

ถ้าเข้าเทรด 3 ครั้งแล้วผิดหมด…พอร์ตยังไม่พังถึงขั้นต้องถอดใจ

ใช้ “ขนาดความผันผวน (ATR)” ประกอบการวาง Stop-Loss 

แล้ว “ATR” คืออะไร? 

ATR (Average True Range) คือ "ตัวชี้วัดความผันผวนของราคา" 

ถ้า ATR สูง = ราคาผันผวนมาก

 ถ้า ATR ต่ำ = ราคานิ่งขึ้น

เทรดเดอร์มักใช้ ATR เพื่อ “ตั้งระยะ Stop-Loss” ให้ไม่ชิดเกินไป 

ตัวอย่างเช่น: 

หุ้น A ราคา 10 บาท 

ATR = 0.5 บาท → อาจตั้ง Stop-Loss ไว้ห่างประมาณ 0.75 บาท (1.5 เท่าของ ATR) 

เพื่อลดโอกาสโดน “ตัดขาดทุน” แบบไม่จำเป็น จะตัดขาดทุนก็ต่อเมื่อราคาลงมาต่ำกว่า 9.25 บาท 

Buffer ที่ดี ไม่ได้เพื่อลดกำไร  

แต่เพื่อให้คุณ “ยังมีเงินอยู่บนกระดาน” เมื่อโอกาสจริงมาถึง 

เทรดให้เหมือน “มนุษย์ที่ผิดพลาดได้” ไม่ใช่ “เทพที่รู้ล่วงหน้า” 

ระบบที่ดี ไม่จำเป็นต้องแม่น 100% แต่ต้องยืดหยุ่นพอ เมื่อเราตัดสินใจพลาด 

กระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม 

วางจุด Cut-Loss อย่างมีวินัย 

มี “ช่วงพัก” ไว้หยุดคิด ไม่ใช่แค่แพ้แล้วถอย 

“Systems don’t need perfection. They need permission to fail safely.” 

“ระบบที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องมีพื้นที่ให้ล้มได้โดยไม่เจ็บหนัก” 

ตัวอย่าง: พอร์ตที่รอด กับพอร์ตที่ร่วง 

เทรดเดอร์ A 

ลงหุ้นตัวเดียว 100% เพราะมั่นใจสุดขีด พอหุ้นมีข่าวลบ ราคาดิ่ง พอร์ตหายไป 40% เงินยังหาใหม่ได้…แต่ใจที่พัง ยากจะกู้คืน 

เทรดเดอร์ B 

กระจายพอร์ตเป็น 5 ส่วน เสี่ยงแค่ครั้งละ 2% แม้จะแพ้ติดกัน 3 เทรด แต่ยังอยู่ในเกม และเทรดที่ 4 ก็พาพอร์ตเขากลับมาได้

สรุป: รอดให้ได้ก่อน แล้วกำไรจะตามมาเอง อย่าใช้ “ความฝันเรื่องกำไร” มานำทาง แต่ใช้ “ความมั่นคงของกลยุทธ์” เป็นเข็มของคุณ 

เราไม่ได้วางระบบเพื่อ “ชนะตลาดให้ได้ทุกครั้ง” แต่เพื่อ “อยู่ในตลาดให้นานพอ” เพราะคนที่อยู่รอด…คือคนที่มีโอกาสชนะ ได้ซ้ำ ๆ 

“Growth is sexy. Resilience is sustainable.”

กำไรดูดีในสายตาคนอื่น แต่ความยืดหยุ่นคือรากฐานของความสำเร็จระยะยาว