จากกรณีที่ทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษ "นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ" พร้อมผู้เกี่ยวข้องอีก 2 ราย ฐานนำข้อมูลภายในของ กองทุนรวม (Front Running) ไปใช้เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ล่วงหน้าเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และอาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการฟอกเงิน
โดยผู้ถูกกล่าวหาอีก 2 ราย ได้แก่ น.ส.ปิยาพัชร และ น.ส.นาวินี อุดมรัตน์ โดย น.ส.ปิยาพัชร ซึ่งดำรงตำแหน่งพนักงานห้องค้าของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (dealer) แห่งหนึ่ง ได้ถ่ายโอนข้อมูลคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนให้แก่ นพ.วิสุทธิ์ เพื่อนำไปใช้ในการซื้อหุ้นล่วงหน้าก่อนคำสั่งซื้อของกองทุนจะถูกดำเนินการ ส่งผลให้เกิดผลประโยชน์ส่วนตน ขณะที่กองทุนได้รับความเสียหาย
ขณะเดียวกัน ยังพบว่า น.ส.นาวินี มีส่วนเกี่ยวข้องในการรับโอนเงินจากการซื้อขายดังกล่าว ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน ก.ล.ต. จึงส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
การตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีเศรษฐกิจครั้งนี้ ส่งผลให้ชื่อของ นพ.วิสุทธิ์ กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง หลังเคยเป็นข่าวใหญ่เมื่อปี 2544 ในคดีฆาตกรรมอุกฉกรรจ์ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ ภรรยา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนสังคมไทย
นพ.วิสุทธิ์ เคยเป็นศาสตราจารย์ด้านสูตินรีเวช แห่งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหนึ่งในแพทย์ผู้บุกเบิกการทำเด็กหลอดแก้วในประเทศไทยและเอเชีย แต่ชีวิตพลิกผันจากเหตุสะเทือนขวัญเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2544 โดยศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต ก่อนจะได้รับอภัยโทษและพ้นโทษในปี 2557
ต่อมาในปี 2558 ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดปทุมวนาราม ภายใต้สมณนาม พระถิระปุญโญ โดยใช้ชีวิตเรียบง่าย สันโดษ และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด และเคยให้สัมภาษณ์ถึงการกลับใจและการตั้งมั่นในธรรมะภายหลังเหตุการณ์ในอดีต
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน นพ.วิสุทธิ์ ต้องกลับมาเผชิญข้อกล่าวหาใหม่ทางเศรษฐกิจ จากกรณี Front Running ดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม