หุ้นไทยครึ่งปีแรกเหงา SET50-SET100 ทรุดเฉียด 10% ขณะวอลุ่มโตสวนทาง

06 ส.ค. 2568 | 00:45 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ส.ค. 2568 | 02:56 น.

สรุปสถานการณ์ตลาดหุ้นไทย 7 เดือนแรกปี 68 ดัชนี SET50-SET100 ร่วงแรงกว่า 10% แต่มูลค่าการซื้อขายพุ่งถึง 6.6 และ 5.18 แสนล้าน พร้อมเปิดโฉม 10 หลักทรัพย์ซื้อหุ้นไทยสูงสุด

จากการรวบรวมข้อมูลดัชนี SET50 ปิดระดับ ณ วันที่ 31 ก.ค.68 ที่ 814.78 จุด ลดลง 89.7 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -9.91% จากเปิดตลาดซื้อขายวันแรกปีนี้ (2 ม.ค.68) ที่ระดับ 904.48 จุด ซึ่งตลอดช่วง 140 วันทำการแรกของปีนี้ มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 4,423,068.02 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 31,593.34 ล้านบาทต่อวัน

หากเทียบช่วงเดียวกันกับปี 67 ดัชนี SET 50 ปิดตลาดที่ระดับ 831.91 จุด ลดลง 42.79 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -4.89% จากเปิดตลาดซื้อขายวันแรกที่ 874.70 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 3,760,828.08 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 26,672.54 ล้านบาทต่อวัน

จะเห็นได้ว่าแม้การปรับตัวลดลงของดัชนีใน 7 เดือนที่ผ่านมา หรือกว่า 140 วันทำการแรกของปี 68 จะสูงกว่าเมื่อเทียบกับปี 67 แต่มูลค่าการซื้อขายระหว่างปี 68 สูงขึ้นกว่า 662,239.94 ล้านบาท หรือเปลี่ยนแปลง 17.60% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ขณะที่ดัชนี SET 100 ปิดตลาดที่ระดับ 1,745.18 จุด ลดลง 211.03 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -10.78% จากเปิดการซื้อขายวันแรกของปีนี้ที่ระดับ 1,956.21 จุด โดยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 5,065,802.52 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 36,184.30 ล้านบาทต่อวัน

แต่หากเทียบเมื่อช่วงเวลาเดียวกันกับปี 67 ที่ดัชนี SET 100 ปิดตลาดที่ 1,812.24 จุด ลดลง 125.9 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 6.49% จากดัชนีเปิดตลาดที่ระดับ 1,938.14 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 4,547,363.98 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 32,250.81 ล้านบาทต่อวัน

จะเห็นได้ว่าแม้การปรับตัวลดลงของดัชนีใน 7 เดือนที่ผ่านมา หรือกว่า 140 วันทำการแรกของปี 68 จะสูงกว่าเมื่อเทียบกับปี 67 แต่มูลค่าการซื้อขายระหว่างปี 68 สูงขึ้นกว่า 518,438.54 ล้านบาท หรือเปลี่ยนแปลง 11.40% เมื่อเทียบกับปีก่อน

เจาะดัชนี SET50 – SET100 ปี 2568  ดัชนีร่วง แต่มูลค่าซื้อขายพุ่ง

บริษัทหลักทรัพย์ซื้อ-ขายสูงสุด

สำหรับการจัดอันดับการซื้อขายของบริษัทสมาชิกในภาพรวมนั้น ประเภทการลงทุนเพื่อบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 694,803.94 ล้านบาท ขณะที่รวมทั้งตลาดโดยไม่รวมประเภทการลงทุนเพื่อบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ อยู่ที่ 10,898,359.99 ล้านบาท โดยรวมทั้งตลาด (ไม่รวม DRx) อยู่ที่ 11,593,163.93 ล้านบาท

บริษัทสมาชิกที่มีการซื้อสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่

  1. BLS มูลค่า 55,006.96 ล้านบาท
  2. INVX มูลค่า 20,408.53 ล้านบาท
  3. CGSI มูลค่า 18,380.19 ล้านบาท
  4. KKPS มูลค่า 11,390.38 ล้านบาท
  5. MST มูลค่า 4,454.79 ล้านบาท
  6. KTX มูลค่า 2,535.70 ล้านบาท
  7. YUANTA มูลค่า 2,314.32 ล้านบาท
  8. PI มูลค่า 1,987.99 ล้านบาท
  9. PST มูลค่า 1,805.45 ล้านบาท
  10. LIB มูลค่า 1,438.15 ล้านบาท

บริษัทสมาชิกที่มีการขายสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่

  1. CST มูลค่า 29,339.76 ล้านบาท
  2. MACQ มูลค่า 25,242.25 ล้านบาท
  3. KS มูลค่า 16,599.21 ล้านบาท
  4. DBSV มูลค่า 6,558.77 ล้านบาท
  5. KSS มูลค่า 6,452.72 ล้านบาท
  6. UOBKHST มูลค่า 4,484.63 ล้านบาท
  7. CLSA มูลค่า 4,275.23 ล้านบาท
  8. IVG มูลค่า 4,111.41 ล้านบาท
  9. FSS มูลค่า 2,870.59 ล้านบาท
  10. KGI มูลค่า 2,753.21 ล้านบาท

ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่ต้นปี 68 มาตลาดหุ้นไทยเผชิญหน้ากับความท้าทายจากหลายปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความไม่แน่นอนทางภาษีการค้าโลก ปัญหาทางการเมือง การท่องเที่ยวที่ไม่ได้ดีดั่งคาด หนีครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และความเชื่อมั่นใจการลงทุนของตลาดหุ้นไทย อีกทั้งยังทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนหุ้นไทยลดน้อยลง แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนก.ค. ที่ผ่านมา สังเกตพบว่ากลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมามาสถานะซื้อสุทธิที่เพิ่มขึ้น

อีกทั้งดัชนี SET Index SET50 และ SET100 เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น มูลค่าการซื้อขายรายวันก็เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน เป็นที่น่าสนใจว่าหรืออาจเป็นสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยแล้วในช่วงที่เหลือของปี 68 นี้