หุ้นไทยปิดบวก 10.73 จุด กลับมายืน 1,121.13 จุด พบ KTC-KBANK ซื้อขายสูงสุด

11 ก.ค. 2568 | 10:27 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ค. 2568 | 10:54 น.

หุ้นไทยวันนี้ (11 ก.ค.68) ดัชนีปิดบวกยืนระดับ 1,121.13 จุด มูลค่าซื้อขายเบาๆ 3.23 หมื่นล้าน พบหุ้นแบงก์ซื้อขายสูงสุด KTC-KBANK ขณะที่ทุนต่างชาติซื้อสูงสุด 2.1 พันล้าน

ความเคลื่อนไหวหุ้นไทยวันนี้ (11 ก.ค.68) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,121.13 จุด เพิ่มขึ้น 10.73 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.97% ในช่วงระหว่างวันดัชนีแกว่งตัวในกรอบสูงสุดและต่ำสุดที่ระดับ 1,130.28 - 1,115.47 จุด มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 32,367.57 ล้านบาท

สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่วันนี้ปรับตัวในแดนบวกเช่นเดียวกัน อาทิ จีน (Shanghai +0.01%), สิงคโปร์ (STI Index +0.30%), ฮ่องกง (Hang Seng +0.46%) และเวียดนาม (VNI +0.96%) เป็นต้น 

หากแบ่งมูลค่าซื้อขายตามประเภทนักลงทุน พบว่า กลุ่มต่างชาติและสถาบัน มีสถานะซื้อสุทธิรวม 2,949.62 ล้านบาท แบ่งเป้น 2,187.35 ล้านบาท และ 762.27 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มนักลงทุนในประเทศและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ มีสถานะขายสุทธิรวม 2,949.61 ล้านบาท แบ่งเป็น 2,748.40 ล้านบาท และ 201.21 ล้านบาท

5 หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด

  • KTC ราคา 26.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท หรือ 4.84% มูลค่าซื้อขาย 1,978.41 ล้านบาท
  • KBANK ราคา 157.50 บาทโดบราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 1,869.62 ล้านบาท
  • DELTA ราคา 108.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 2.36% มูลค่าซื้อขาย 1,472.84 ล้านบาท
  • SCC ราคา 176.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ 3.23% มูลค่าซื้อขาย 1,381.91 ล้านบาท
  • CPALL ราคา 44.50 บาท โดยราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 1,381.43 ล้านบาท

นักลงทุนจับตางบ Q2/68

บล.เอเอสแอล วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย ระบุว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในแดนบวก รับปัจจัยต่างประเทศจากประเด็นกรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นว่าเหมาะสมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ แม้จะมีแรงกดดันจากมาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์ แต่เฟดประเมินว่าผลกระทบต่อเงินเฟ้อจะเป็นเพียงชั่วคราว

และไม่รุนแรง ประกอบกับความคาดหวังจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มหนุนกลุ่ม China Play ปรับตัวขึ้น โดยแนะกลยุทธการลงทุน เก็งกำไรก่อนการรายงานผลประกอบการของกลุ่มธนาคารในสัปดาห์หน้า และติดตามการเจรจาการค้ารอบใหม่ก่อน 1 ส.ค. นี้ 

บล. พาย ประเมิน SET Index ยังมี Upside ที่ค่อนข้างจำกัด จนกว่าจะทราบผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ประกอบกับนักลงทุนจะเริ่มรอดูผลประกอบการไตรมาส 2/68 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่จะเริ่มทยอยรายงานตั้งแต่สัปดาห์หน้า เริ่มที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์

และตามมาด้วย Domestic Play ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนระยะกลางอาจเน้นสะสมหุ้นปันผลสูง ธุรกิจมั่นคง เป็นผู้นำธุรกิจ อาทิ SCB TISCO BBL KBANK รวมไปถึงหุ้นใหญ่ที่น่าสนใจ CPN CPALL และ MINT เป็นต้น