ดีเดย์! ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดรับสมัคร บจ.เข้าร่วม "JUMP+" 26 มิ.ย.-30 ธ.ค. 68 นี้

26 มิ.ย. 2568 | 11:44 น.
อัปเดตล่าสุด :26 มิ.ย. 2568 | 11:46 น.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ กดปุ่มสตาร์ทโปรเจ็กต์ "JUMP+" พร้อมเปิดรับสมัคร บจ.เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ 26 มิ.ย.-30 ธ.ค.68 ปักธงปีนี้มี บจ. เข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 50-100 ราย

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า วันนี้ (26 มิ.ย.68) ทางตลาดทรัพย์ฯ ได้เปิดตัวโครงการ “JUMP+” อย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มเปิดรับสมัครบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ที่สนใจเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.-30 ธ.ค.68

ทั้งนี้ มองว่าโครงการ “JUMP+” เป็นโปรเจ็กต์ที่เพื่อสร้างตลาดทุนไทยให้น่าสนใจมากขึ้น และดึงดูดนักลงทุน รวมถึงสร้างประโยชน์ให้นักลงทุนโดยรวมได้เพิ่มมากขึ้น โดยโครงการ JUMP+ เป็นโครงการระยะยาว โดยบริษัทที่ร่วมโครงการจะต้องมีการจัดทำแผนการเติบโต 3 ปี (69-71)

โดยจะต้องเปิดเผยตั้งแต่เป้าหมายและแผนการดำเนินงานให้ไปสู่เป้า เปิดเผยถึงความคืบหน้า และสื่อสารกับผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ร่วมโครงการผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มเห็นแผนงาน Jump+ ของ บจ. ในช่วงไตรมาส 4/68 เป็นต้นไป

"ที่เปิดตัว Jump+ ในัวนนี้ เพื่อให้ทันกับการวางแผนงานของ บจ. ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเริ่มทำแผนในช่วงไตรมาส 3-4 ของทุกปี และจะสามารถติดตามการดำเนินงานตามแผนงานของบริษัทได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/69 ไปจนถึงปี 71 เบื้องต้นเราตั้งเป้าหมาย บจ. เข้าร่วมโครงการไว้ที่ประมาณ 50-100 บริษัท"

พร้อมกันนี้ บริษัทที่ร่วมโครงการจะได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ประมาณ 5.5 ล้านบาทต่อราย แบ่งเป็นมูลค่าตามลักษณะแผนงานที่เขาจะทำ ได้แก่

  • สำหรับแผนธุรกิจในเชิง business จำนวน 3 ล้านบาทแรก
  • สำหรับแผนจัดการก๊าซเรือนกระจกจำนวน 1 ล้านบาท
  • สำหรับแผนด้านธรรมาภิบาลจำนวน 5 แสนบาท
  • สำหรับการจัดทำแผนทั่วไป 5 แสนบาท
  • และมีโบนัสให้สำหรับบริษัทที่ทำได้ตามแผนในปีสุดท้ายอีก 5 แสนบาทต่อราย

ขณะที่เป้าหมายของบริษัทที่จะเข้าร่วมโครงการนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่

  1. บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่อยากเห็นการเติบโต
  2. บริษัทขนาดใหญ่ที่อยากจะสื่อสารว่าคือเพชรเม็ดเงินในตลาดหุ้นไทย

โดยตลาดหลักทรัพย์ฯและพันธมิตรสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนของ บจ. ที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ ค่าใช้จ่ายสำหรับการว่าจ้างที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุน CMDF การขยาย visibility ทั้งในและต่างประเทศผ่านกิจกรรม roadshow กิจกรรม Opportunity Day การจัดทำบทวิเคราะห์ และโปรโมทผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตร

"การที่บริษัทจดทะเบียนดำเนินการตามแผนดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่ง กระตุ้นการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดทุนไทยด้วย"

สำหรับด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากภาครัฐบาลขณะนี้ยังไม่ได้รับการพิจารณา แต่เบื้องต้นได้มีการพูดคุยกันบ้างแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องภาษีเป็นสิ่งที่ถ้าได้ก็ดี แต่ ณ วันนี้สถานะการคลังมีหลายเรื่องที่ต้องพิจารณาเพื่อใช้สิทธิทางภาษีให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาต้องยอมรับกระทรวงการคลังได้ช่วยเหลือด้านภาษีต่อตลาดทุนค่อนข้างมาก อาทิ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) เป็นต้น

สร้างมูลค่ากิจการระยะยาว

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ตลาดทุนในเอเชียกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านผลตอบแทนและความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุน หลายประเทศจึงเริ่มขับเคลื่อนนโยบายการสร้างมูลค่าของกิจการในระยะยาว หรือ “Value Up” เพื่อยกระดับธรรมาภิบาลสร้างคุณค่าในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น

ขณะที่ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ หากเราต้องการให้บริษัทจดทะเบียนเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านสู่แนวทาง Value Up คือโอกาสสำคัญ ก.ล.ต. จึงผลักดันโครงการ “Corporate Value Up” ให้เป็นกลไกหลักในการยกระดับธรรมาภิบาลของภาคธุรกิจไทยทำหน้าที่เป็น ‘กรอบกลยุทธ์’ และ ‘กลไกส่งสัญญาณตลาด’

โดยเชื่อมโยงกับการออกแบบแรงจูงใจเชิงนโยบายผ่านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และโครงการ JUMP+ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบอย่างเป็นรูปธรรม นำไปสู่การสร้างตลาดทุนไทยที่แข็งแกร่ง น่าเชื่อถือ และยั่งยืนในระดับสากล

สำหรับโครงการ Corporate Value Up ภายใต้กรอบแนวคิดหลักที่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่

  1. ธรรมาภิบาลระดับดีเลิศ
  2. แผน Value Up ที่ชัดเจนทั้งด้านแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นเพิ่มมูลค่ากิจการและแผนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมระยะเวลาภายใน 2 ปี
  3. การสื่อสารกับนักลงทุนอย่างโปร่งใส หากบริษัทจดทะเบียนมีองค์ประกอบครบถ้วนจะมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์เป็นหลักทรัพย์ที่ Thai ESG หรือ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ ซึ่งปัจจุบันมี 2 บริษัทที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติดังกล่าวแล้ว