จากภูมิรัฐศาสตร์ถึงผลตอบแทน: การวางพอร์ตในโลกที่การเมืองกำหนดราคาหุ้น ตอนที่ 1

15 มิ.ย. 2568 | 01:32 น.
อัปเดตล่าสุด :15 มิ.ย. 2568 | 01:32 น.

จากภูมิรัฐศาสตร์ถึงผลตอบแทน: การวางพอร์ตในโลกที่การเมืองกำหนดราคาหุ้น ตอนที่ 1 :คอลัมน์ Investing Tactic โดย กวิน สู่พานิช เพจ Kavin’s Hybrid Trading และ วิทยากรพิเศษโครงการ SITUP

ตอนที่ 1: Geo Politics คืออะไร และทำไมนักลงทุนต้องจับตาให้มากกว่าตัวเลข

ในอดีต นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนด้วยเงินก้อนโตได้จากการพิจารณาตัวเลขในงบการเงินเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นอัตรากำไรสุทธิ การเติบโตของรายได้ หรืออัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ วิธีคิดแบบนี้คือหัวใจของการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ซึ่งเป็นรากฐานของการลงทุนแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า และผู้จัดการกองทุนทั่วโลก

แต่เมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอนกลับกลายเป็นเรื่องแน่นอน นักลงทุนเริ่มสังเกตเห็นว่า ตัวเลขในงบการเงินอาจไม่มีน้ำหนักมากเท่ากับถ้อยแถลงจากทำเนียบขาว หรือผลการประชุมฉุกเฉินของ NATO อีกต่อไป

จากภูมิรัฐศาสตร์ถึงผลตอบแทน: การวางพอร์ตในโลกที่การเมืองกำหนดราคาหุ้น ตอนที่ 1

สิ่งที่เรียกว่า “Geo Politics” หรือ “ภูมิรัฐศาสตร์” จึงไม่ได้เป็นเพียงศัพท์ในข่าวต่างประเทศอีกต่อไป แต่มันคือ “ตัวกำหนดกระแสและทิศทางของเงินทุน” ที่อาจเปลี่ยนทิศทางของทั้งตลาดในชั่วข้ามคืน หรือในบางครั้งเสี้ยววินาที

Geo Politics คืออะไร?

Geo Politics คือศาสตร์ที่อธิบายว่า แผนที่โลกไม่ได้สะท้อนแค่เส้นพรมแดนทางกายภาพ แต่ยังสะท้อนถึงอำนาจ อิทธิพล และผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจในระดับโลก ตัวอย่างเช่น:

  • รัสเซียไม่อาจปล่อยไครเมียให้หลุดมือ เพราะนั่นคือฐานทัพเรือหลักที่สามารถควบคุมทะเลดำได้
  • จีนถือว่าไต้หวันเป็น "เส้นแดง" เพราะนอกจากจะควบคุมเส้นทางเดินเรือแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลก
  • สหรัฐฯ พยายามควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงสู่จีน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในระยะยาว

ปรากฏการณ์เหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในวงจำกัดแต่มันส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดทุน นักลงทุนที่จับตาเฉพาะงบการเงิน อาจพลาดสัญญาณสำคัญที่กำลังเขียนทิศทางใหม่ให้กับเศรษฐกิจโลก

Geo Politics = ความไม่แน่นอนระดับสูงสุด

ตลาดการเงินเป็นสิ่งที่อ่อนไหวต่อ “ความไม่แน่นอน” และ Geo Politics คือความไม่แน่นอนในระดับที่ไม่มีใครคาดเดาได้ เหตุการณ์ในอดีตอย่าง วิกฤตคิวบา (Cuban Missile Crisis) ในปี 1962, สงครามอาหรับ-อิสราเอล(Yom Kippur War)ปี 1973 หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ 9/11 ล้วนทำให้ตลาดหุ้นโลกสะเทือนอย่างรุนแรง

หนึ่งในกรณีศึกษาที่สดใหม่ คือ สงครามยูเครนในปี 2022 ที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $120 ต่อบาร์เรล หุ้นยุโรปดิ่งลง ค่าเงินรูเบิลร่วงจนธนาคารกลางต้องปิดตลาดฉุกเฉิน และทองคำทะยานแตะ $2,000 ต่อออนซ์ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ทั้งหมดนี้เริ่มต้นเพียงเพราะ “สงครามเกิดขึ้นจริง” ไม่ใช่เพียงข่าวลืออีกต่อไป

Geo Politics จึงไม่ใช่เรื่องของ “ทหาร” และการประชันความยิ่งใหญ่ทางการทหารเท่านั้น แต่มันคือ “เครื่องมือของเศรษฐกิจ” ในโลกยุคใหม่ — การคว่ำบาตร การตอบโต้ทางการค้า และการตัดขาดจากระบบการเงินโลก กลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังไม่แพ้ขีปนาวุธ

นักลงทุนที่ไม่อ่านแผนที่โลกเปรียบเสมือนการหลับตาเดินเข้าสนามรบ

บริษัทที่งบการเงินแข็งแกร่ง อัตราการเติบโตสูง แต่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจถูกตลาด “ลดน้ำหนัก” การลงทุนลง หรือแม้แต่ถูกถอดออกจากดัชนีโลก เช่น MSCI หรือ FTSE ในทางตรงกันข้าม บริษัทที่ยังไม่มีกำไรเด่นชัด แต่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มประเทศที่ได้เปรียบ หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่รัฐให้การสนับสนุน เช่น AI, อาวุธยุทโธปกรณ์ หรือพลังงานสะอาด อาจได้รับเงินทุนไหลเข้าอย่างมหาศาล

การตัดสินใจเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในตำราการเงินทั่วไป แต่มันคือผลลัพธ์ของ “ภูมิรัฐศาสตร์” อย่างแท้จริง

ยุคของผู้รู้ทันโลก

ศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ยุคของนักวิเคราะห์งบการเงินเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่มันเป็นสนามของนักลงทุนที่มองเห็นว่า “ใครอยู่หลังเกม” และ “ใครกำลังจัดกระดาน” เงินทุน เทคโนโลยี และวัตถุดิบ ล้วนไม่สามารถวิ่งไปตามกลไกตลาดได้เสรีเหมือนในอดีต แต่มักมีแรงผลักจากเบื้องหลังที่ซับซ้อน

Geo Politics จึงไม่ใช่แค่ “ความเสี่ยง” แต่ยังเป็น “โอกาส” สำหรับนักลงทุนที่เข้าใจความเคลื่อนไหวของโลก เพราะในวันที่ตลาดทั้งโลกสะดุด ใครที่มองแผนที่โลกออกก่อนคนอื่น ย่อมมีโอกาสรอด และอาจเป็นผู้ชนะในสนามการเงิน