เอาตัวรอดอย่างไรในสงครามการค้า เมื่อภาษีกลายเป็นหมากการเมืองระดับโลก

02 พ.ค. 2568 | 03:57 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ค. 2568 | 03:57 น.

เอาตัวรอดอย่างไรในสงครามการค้า เมื่อภาษีกลายเป็นหมากการเมืองระดับโลก : คอลัมน์ Investing Tactic โดย กวิน สู่พานิช เพจ Kavin’s Hybrid Trading และ วิทยากรพิเศษโครงการ SITUP

เมื่อ "ภาษี" กลายเป็นหมากการเมืองระดับโลก และพอร์ตของคุณคือสนามรบ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่นโยบายเศรษฐกิจและการค้าถูกเปลี่ยนบทบาทไปสู่เครื่องมือต่อรองทางการเมืองอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะในยุคของผู้นำที่มีแนวคิดชาตินิยมและการเมืองแบบเจรจาเชิงบีบบังคับ เช่น สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้นำ “ภาษีนำเข้า” หรือ Tariff มาใช้เป็นกลยุทธ์หลักในการต่อรองทางการค้า

สิ่งนี้อาจดูเหมือนเป็นการเคลื่อนไหวเชิงเศรษฐศาสตร์ในนามของความมั่นคงและการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมในประเทศ แต่หากมองให้ลึกลงไป เราจะเห็นว่ากลยุทธ์เช่นนี้ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในระดับโลก ตั้งแต่โครงสร้างต้นทุนของบริษัทข้ามชาติ ความมั่นใจของผู้บริโภค ไปจนถึงสภาพคล่องในระบบการเงิน

นักลงทุนในตลาดทุนจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เพราะผลกระทบจากนโยบายภาษีเช่นนี้ ไม่ได้กระทบเพียงแค่ค่าเงินหรือราคาสินค้าส่งออกเท่านั้น แต่มันส่งผลกระทบไปยังหุ้นทุกกลุ่ม ทุกภูมิภาค และแม้กระทั่งสินทรัพย์ทางเลือกอย่างคริปโตเคอร์เรนซี

นี่คือสถานการณ์ที่เราต้องไม่เพียงแต่ตั้งรับ แต่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ด้วยการวางแผนอย่างชาญฉลาด รอบคอบ และยืดหยุ่น วันนี้ ผมจึงอยากชวนทุกท่านมาทบทวนวิธี “เอาตัวรอด” ในช่วงเวลาที่ตลาดโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้ ผ่าน 3 แนวทางหลักที่ผมเชื่อว่าสามารถนำไปใช้ได้จริง

  • 1. ประกันความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ (Hedging)

เมื่อกระแสลมของโลกการค้าเปลี่ยนทิศ ความผันผวนจึงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนที่ยังคงยึดมั่นกับพอร์ตลงทุนเดิม โดยไม่มีกลไกรองรับความผันผวน อาจต้องเผชิญกับความเสียหายที่เกินกว่าจะควบคุมได้ ดังนั้น การทำ Hedging หรือการป้องกันความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ จึงไม่ใช่เรื่องของ “นักลงทุนขั้นสูง” อีกต่อไป แต่มันกลายเป็นสิ่งที่ “นักลงทุนที่อยากอยู่รอด” ทุกคนควรต้องรู้

เครื่องมือทางการเงินที่ใช้สำหรับการทำ Hedging ในยุคนี้มีหลากหลาย ทั้ง Options, Futures และ Inverse ETF ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามบริบทของพอร์ตการลงทุนและสภาวะตลาดที่เผชิญอยู่

ตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่ถือครองหุ้นสหรัฐฯ และไม่ต้องการขายสถานะออกในช่วงตลาดผันผวน อาจเลือกซื้อ Put Option เพื่อประกันความเสี่ยงขาลง หรือหากคาดว่าตลาดกำลังเข้าสู่แนวโน้มร่วงแรง ก็สามารถใช้ Futures ในการเปิดสถานะ Short เพื่อหักล้างการขาดทุนจากพอร์ตหุ้นได้

ที่สำคัญยิ่งกว่าการใช้เครื่องมือเหล่านี้คือ การเข้าใจกลไกของมันอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การหวังว่าจะป้องกันพอร์ตได้เฉยๆ เพราะ Hedging ที่ดีไม่ใช่แค่การเอาไม้กันคลื่น แต่คือการรู้ว่าควรใช้ไม้ประเภทใดกับคลื่นชนิดไหน

ถ้าคุณสามารถวิเคราะห์ได้ว่าแรงกระแทกครั้งต่อไปจะมาในรูปแบบใด คุณก็มีโอกาสสูงที่จะรอดจากพายุ และยืนอยู่บนฝั่งอย่างมั่นคงในวันที่ฟ้าสว่างอีกครั้ง

  • 2. ปรับกลยุทธ์ให้ยืดหยุ่นโดยไม่หลุดโฟกัส

ในยามที่ตลาดเปลี่ยนไป กลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ผล อาจกลายเป็นอาวุธที่ไม่เหมาะกับสนามรบอีกต่อไป การลงทุนที่เคยอาศัยเทรนด์ชัดเจน กลับต้องเผชิญกับภาวะ Sideway หรือ Downtrend ยาวนาน ซึ่งทำให้ระบบการเทรดแบบ Trend Following ที่เคยรุ่งเรือง กลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างแต่ความเสียหายอย่างต่อเนื่องในเวลานี้

คำถามสำคัญคือ คุณพร้อมจะปรับตัวหรือยัง? คุณยืดหยุ่นพอหรือไม่ที่จะเปลี่ยนมุมมอง ปรับขนาดการลงทุน หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนตลาดที่คุณเล่น เพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง นักลงทุนที่ยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ มักพ่ายแพ้ในระยะยาว เพราะตลาดไม่ได้ปรับตัวให้เรา แต่เราเท่านั้นที่ต้องปรับตัวตามให้ทันตลาด

เอาตัวรอดอย่างไรในสงครามการค้า  เมื่อภาษีกลายเป็นหมากการเมืองระดับโลก

คุณอาจเคยตั้งเป้า Take Profit ไว้ที่ 10% เสมอ แต่ในตลาดที่ไม่มีเอื้อต่อการทำกำไร การลดเป้าหมายลงเหลือ 5% หรือ 3% อาจเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดกว่า การปรับ Timeframe ให้สั้นลง หรือหันไปใช้กลยุทธ์แบบ Mean Reversion อาจกลายเป็นโอกาสใหม่ที่ไม่อาจละเลยได้ หรือบางคนอาจเลือกถอยออกมาศึกษาก่อน แล้วกลับเข้าสู่สนามเมื่อเจอจังหวะที่มั่นใจมากขึ้นก็ไม่ผิดเช่นกันครับ

สิ่งสำคัญคือ ความสามารถในการ “คงเส้นคงวาในหลักการ” ขณะที่ “ปรับวิธีปฏิบัติให้เข้ากับสถานการณ์” นั่นคือศิลปะของการเอาตัวรอดในตลาดทุนที่แท้จริง

  • 3. ถอยเพื่อรุก การถือเงินสดเป็นกลยุทธ์ ไม่ใช่ความกลัว

ในโลกที่ทุกการเคลื่อนไหวอาจมีต้นทุน การหยุดนิ่งบางครั้งก็เป็นการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพที่สุด นักลงทุนบางคนมักภูมิใจที่ตัวเอง “ลงทุนเต็มพอร์ต 100% ตลอดเวลา” แต่คำถามคือ นั่นคือกลยุทธ์ที่เหมาะสมจริงหรือ? หรือเป็นเพียงความรู้สึกปลอม ๆ ว่ากำลัง “ทำงาน” อยู่ตลอดเวลา?

การถือเงินสดไม่ใช่สัญญาณของความกลัว แต่คือกลยุทธ์เชิงรับที่ทรงพลังโดยเฉพาะในตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูง เงินสดคือกระสุนสำรองที่ให้คุณมีสิทธิ์ตัดสินใจ ไม่ใช่แค่รอด แต่พร้อม “ลุย” เมื่อเห็นโอกาสที่แท้จริง

ในยามที่ตลาดร่วงแรง เราต้องย้อนถามตัวเองว่า พื้นฐานของบริษัทที่เราถืออยู่นั้นเปลี่ยนไปหรือไม่ หากเปลี่ยนไปในทางแย่ลง เรากำลังถือของแพงที่ไม่ควรถือ หากยังดีเหมือนเดิม เราอาจกำลังเห็นโอกาสในราคาที่ถูก แต่ถ้ายังไม่แน่ใจ การรอดูและเก็บกระสุนไว้ อาจปลอดภัยกว่า

อย่าลืมว่า ต้นทุนที่แพงกว่าเงิน คือ “เวลา” เพราะหากคุณติดหุ้นอยู่กับพอร์ตที่ไม่สามารถฟื้นตัวได้ภายใน 5-10 ปี คุณจะเสียทั้งโอกาส และสุขภาพจิตไปพร้อมกัน การรักษาเงินต้นไว้ เพื่อให้คุณยังสามารถกลับมาเล่นได้ในวันที่ตลาดเปิดทางใหม่ คือสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการเอาชนะในแต่ละรอบการเทรด

  • บทสรุป

โลกของตลาดทุนไม่ได้เป็นสถานที่สำหรับคนที่แน่นอนเสมอ แต่เป็นพื้นที่สำหรับผู้ที่พร้อมจะปรับตัว และเรียนรู้ตลอดเวลา สงครามการค้าอาจไม่ใช่บทสุดท้ายของความผันผวนในศตวรรษนี้ แต่เป็นเพียงบทแรกของการเปลี่ยนแปลงระดับโลก การเตรียมตัวด้วยแผนที่ชัดเจน กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น และสติที่มั่นคง คืออาวุธเดียวที่คุณควรพกติดตัวในทุกสมรภูมิทางการเงิน

“คุณควบคุมตลาดไม่ได้ แต่คุณควบคุมการตัดสินใจของตัวเองได้เสมอ”

จงเป็นนักลงทุนที่รู้จักใช้โอกาส แม้ในวันที่ตลาดมืดมนที่สุด เพราะแสงสว่างจากรอบใหม่ มักเริ่มจากเงามืดเสมอ