เปิดโผ 4 หุ้น Defensive Stock ลงทุนสู้เศรษฐกิจ-ตลาดหุ้นผันผวน

09 มิ.ย. 2568 | 00:30 น.

บล.หยวนต้า ชี้เดือนมิ.ย. ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวน จับตาครึ่งเดือนหลังมีลุ้นกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับ หลังปัจจัยรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศคลายกังวล พร้อมเปิดโผ 4 หุ้น Defensive Stock

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิ.ย. 2568 มองว่าในช่วงครึ่งแรกของเดือนนี้ยังดูมีความผันผวนอยู่ไม่น้อย จากปัจจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่เข้ามากดดัน

โดยปัจจัยภายในประเทศนั้น ยังต้องรอดูความชัดเจนในการเจรจาการค้ากับทางสหรัฐฯ ท้ายที่สุดไทยจะสามารถต่อรองเงื่อนไขทางภาษีได้มากน้อยเพียงใด รวมไปถึงความเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะการปรับครม. ซึ่งเมื่อสถานการณ์นิ่งขึ้นแล้ว ตั้งแต่กลางเดือนมิ.ย. เป็นต้นไป ทางฝ่ายคาดว่าบรรยากาศการลงทุนจะกลับมาอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงกลางเดือนมิ.ย. ยังมี 3 ปัจจัยที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยหนุนให้บรรยากาศการลงทุนกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต่างประเทศให้การจับตารอดูความชัดเจน และหากว่าเป็นไปในทางบวกก็มีโอกาสเห็นการไหลกลับเข้ามาลงทุนของต่างชาติอีกครั้ง

ประกอบด้วย

  1. ความคาดหวังในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังปี 68 จากการอัดฉีดเม็ดเงิน 1.57 แสนล้านบาท ที่โอนมาจาก Digital Wallet
  2. Valuation ของตลาดหุ้นไทยอยู่ในโซนที่ไม่แพง PER2025 อยู่ที่ 12.5 เท่า และ Earning Yield Gap ที่ระดับ 6.3% 
  3. ตลาดหุ้นไทย Laggard ตลาดหุ้นเอเชียโดยเทียบ MSCI Asia ex. Japan มากถึง 27%

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนนั้น ทางฝ่ายแนะนำกลับเข้าไปลงทุนใน Domestic Play ช่วงครึ่งหลังเดือน มิ.ย. เช่น กลุ่มค้าปลีก สื่อสาร โรงไฟฟ้า โรงพยาบาล รับเหมาก่อสร้าง เพราะจะได้แรงหนุนจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ

สำหรับหุ้นศักยภาพที่มีความทนทางต่อเศรษฐกิจที่ยังดุมีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน (Defensive Stock) ทางฝ่ายได้คัดหุ้นเด่นมา 4 หลักทรัพย์ ได้แก่

  • BCPG (ราคาเหมาะสม 9.00 บาท) คาดการณ์ว่ากำไรปี 2568 จะมีการเติดโจ 41% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็น 1,582 ล้านบาท PER2025 อยู่ในระดับที่ถูกเพียง 11 เท่า และ PBV 0.6 เท่า อีกทั้งยังได้ SET ESG Ratings ระดับ AAA
  • ADVANC (ราคาเหมาะสม 315.00 บาท) คาดกำไรปี 2568 จะเติบโต 17% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็น 41,000 ล้านบาท ปันผล 4.3% ต่อปี และได้ SET ESG Ratings ระดับ AAA
  • CPALL (ราคาเหมาะสม 65.00 บาท) คาดกำไรปี 2568 เติบโต 5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็น 27,000 ล้านบาท และได้ SET ESG Ratings ระดับ AAA
  • BCH (ราคาเหมาะสม 20.40 บาท) คาดกำไรปี 2568 มีการเติบโตที่ระดับ 17% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็น 1,600 ล้านบาท อีกทั้งยังได้ SET ESG Ratings ระดับ AAA

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวางเป้าหมายดัชนีปี 2568 นี้ไว้ที่ 1,275 จุด ส่วนกรอบการเคลื่อนไหวเดือนมิ.ย. แนบรับที่ 1,120 จุด และแนวต้านที่ 1,170 จุด ในแง่อัตราส่วนในการปรับพอร์ตลงทุนนั้น แนะนำ สหรัฐฯ 30% หุ้นไทย 20% จีน 20% เวียดนาม 10% ทองคำ 10% และพันธบัตร 10% เป็นต้น