SET ชี้ทุกวิกฤตมีโอกาส วาง 4 ยุทธศาสตร์ ปลุกความเชื่อมั่น ดึง Ai อัพแกร่ง

07 มิ.ย. 2568 | 04:47 น.
อัปเดตล่าสุด :07 มิ.ย. 2568 | 05:34 น.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ พลิกวิกฤตสู่โอกาส รุกฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุน ประกาศเดินหน้า 4 ยุทธศาสตร์ใหญ่ ดึง AI พร้อมปรับเกณฑ์ดึงการระดมทุนใหม่เกิด พร้อมชู ESG ปูทาง บจ. ไทยสู่ความยั่งยืน

ศาสตราจารย์ (พิเศษ) กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงานสัมนา "Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ" จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ในหัวข้อ "พลิกวิกฤตสู่โอกาส-ยุทธศาสตร์ฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย" ว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดทุนไทยประสบปัญหาจากหลายปัจจัยรอบด้าน ไม่ว่าจะทั้งปัญหาภายในประเทศเศรษฐกิจที่ชะลอตัว 

รวมไปถึงปัญหาภายนอกที่เหนือการควบควบ เช่น เศรษฐกิจโลก นโยบายการค้า ภาษีตอบโตระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ ตลอดจนเรื่องการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตและการลงทุน และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่เชื่อได้ว่าในทุกวิกฤติที่เกิดขึ้นเชื่อว่ามีโอกาสอยู่เสมอในปัญหาเชื่อว่าจะสร้างได้ด้วยปัญญา โดยสิ่งหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเร่งทำ คือ เมื่อเห็นโอกาสแล้ว จะทำอย่างไรให้เกิดการลงทุน

ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงวางแนวทางการขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ 4 ด้าน เชื่อว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นกลับคืนตลาดทุนไทย

1. ยุทธศาสตร์ความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ที่ต้องเร่งผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มีหลายเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงมือทำแล้วและยังคงให้ความสำคัญอยู่ อาทิ การปรับปรุงและเพิ่มเติมมาตรการกำกับดูแลการซื้อขายและการคุ้มครองผู้ลงทุน เช่น Short Sell, Dynamic Price Band, Uptick และขึ้นทะเบียน HFT 
 

"มองว่ามาตรการกำกับดูแลการซื้อขายที่เข้มงวดและอุดช่องโหว่ได้มากขึ้น เมื่อเกิดกรณีตัวอย่างแล้ว สิ่งที่ทำได้ คือการเรียนรู้ ศึกษา และแก้ไขในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น รวมถึงจะทำอย่างไรให้ปัญหาเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก เรื่องนี้จะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลและระบบซื้อขาย อย่างไรก็ดี ในอนาคตหากพบว่าใครทำเน็คเคดชอร์ตในต่างประเทศจะสามารถตรวจสอบได้ และยังมีอีกหลายเรื่องที่เร่งดำเนินการ"

การปรับปรุงและเพิ่มเติมเกณฑ์บริษัทจดทะเบียน (บจ.) เช่น คุณสมบัติบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนใน SET และ mail, บจ.ต้องไม่เป็น Investment Company และแยกประเภทเครื่องหมาย C เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการผลักดันการปรับปรุงกฎกระทรวงเรื่อง Treasury Stock ซึ่งปัจจุบัน มีบจ.ไทยกว่า 37 แห่ง เข้าโครงการรับซื้อหุ้นคืนมูลค่ารวมกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับทั้งปี 67

2. เพิ่มความน่าสนใจตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้ายกระดับ บจ. วันนี้ ประเทศไทยมี SMEs กว่า 3.25 ล้านราย ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ และมีกว่า 200,000 บริษัทที่เสียภาษี ตลท.จะทำอย่างไรที่จะผลักดันบริษัทเหล่านี้มีโอกาสเข้าสู่ตลาดทุนไทย ที่เรียกว่า "New Economy" อีกทั้งส่งเสริม 300 บริษัทของไทยเข้ามาอบรมตลาดทุน 

รวมถึงการทำโครงการ Jump+ เพื่อพัฒนา 50 บริษัทในปี 2569 เป้าประสงค์ให้บริษัทที่จดทะเบียนได้ทำแผนงานความคืบหน้าการลงทุน โดยให้ค่าที่ปรึกษา ค่าส่วนลดที่ปรึกษา รวมถึงออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยการให้นักลงทุนซื้อหุ้นสะสมเองจนเกษียณ ซึ่งต้องคุยกับกระทรวงการคลัง

พร้อมกันนี้ ปัจจุบันมี 3-4 บริษัทต่างชาติสนใจเข้ามาจดทะเบีนในตลาดหุ้นไทย และ BOI พยายามกำหนดเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์และแก้ไขกฎหมายเรื่องหุ้น 2 ประเภทเพื่อไม่ให้เกิดการโต้แย้งหากเข้ามาจดทะเบียน รวมถึงหนุนการ Spin-off บริษัทต่างๆ เข้ามาระดมทุนในตลาดทุนไทย

ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างการออกแบบผลิตภัณฑ์การออมหุ้นระยะยาว หรือ TISA (Thailand individual saving) ให้นักลงทุนซื้อหุ้นเก็บสะสมเอง ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับกองทุน LTF เดิม ซึ่งคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินใหม่ๆ ใส่เข้ามาในตลาดทุนไทยได้เพิ่มมากขึ้น

3.ผลักดันกฎหมายต่างๆให้เท่าเทียม ผลักดันให้เกิดการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและรูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกฎหมายที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการระดมทุนผ่านตลาดทุน รวมถึงแนวทางการรวบรวมและปรับปรุงกฎหมายในลักษณะ Omnibus Law เพื่อคลายข้อจำกัดที่กระจัดกระจายอยู่ในหลายฉบับ

ยกตัวอย่างเช่น การเปิดทางให้ใช้โครงสร้างหุ้นสองระดับ (Dual-class shares) ซึ่งจะช่วยให้บริษัท SMEs และ Startups ที่มีศักยภาพ สามารถเข้าระดมทุนในตลาดทุนได้ โดยยังคงให้อำนาจกับผู้ก่อตั้งในการกำหนดทิศทางธุรกิจ ขณะเดียวกัน นักลงทุนก็ยังได้รับสิทธิประโยชน์และการคุ้มครองที่เหมาะสม เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมุ่งผลักดันให้เกิดความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นในการจัดโครงสร้างบริษัท การควบรวมกิจการ และการแยก Spin-off บริษัทในเครือ เพื่อเสริมศักยภาพในการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ต้องการการสนับสนุนด้านเงินทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสม

ควบคู่การทำงานร่วมกับ TDRI และ CMDF ในการจัดทำ Regulatory Guillotine เพื่อกลั่นกรองและปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย และร่วมกับ Thailand Institute of Justice หรือ TIJ ในการจัดหลักสูตรอบรมเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจในกฎหมายตลาดทุน

รวมถึงการผลักดันการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจในฐานะพนักงานสอบสวนได้โดยตรง อันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของระบบกำกับดูแลตลาดทุนไทยในระยะยาว

4.การขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน โดย ESG เป็นเรื่องสำคัญไม่อาจเลี่ยงได้ ต้องสร้างความน่าสนใจ ขับเคลื่อน สร้างให้เกิดความยั่งยืน แม้ประธานาธิบดี ทรัมป์จะไม่ให้ความสนใจต่อเรื่องของความยั่งยืนเท่าไหร่นัก แต่บริษัทจดทะเบียนไทยต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องสร้างความน่าสนใจและขับเคลื่อนบริษัทไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน เริ่มจากฝึกอบรม ESG และใช้ ESG ดาต้าแพลตฟอร์มที่ร่วมกับฟุตซี่ในอนาคต

"เรามุ่งมั่นในการดูแลนักลงทุนอย่างดีที่สุด ทั้งในด้านการควบคุมพฤติกรรมในตลาด และการกำหนดบทลงโทษที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย แม้ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการฉ้อโกงเกิดขึ้น แต่เราจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการป้องกันและดูแล"

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วมากในปัจจุบัน สิ่งสำคัญคือ การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาเสริมประสิทธิภาพในการกำกับดูแลและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและยกระดับความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน เชื่อว่าในทุกวิกฤติยังมีโอกาส และตลท.จะยืนหยัดเคียงข้างนักลงทุนเสมอ