PQS รับยอดส่งออกแป้งมันลด กำลังซื้อจีนหด ปรับแผนรุกต่างแดนเพิ่ม

31 พ.ค. 2568 | 05:30 น.

PQS รับแรงกดดันส่งออกไตรมาส 2/68 หลังจีนชะลอซื้อแป้งมัน เข้าโลวซีซันธุรกิจ กางแผนรุกเจาะตลาดต่างแดนใหม่ ย้ำเป้ารายได้ปี 68 โต 30%

นายรัฐวิรุฬห์ ชาญจึงถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีเมียร์ ควอลตี้ สตาร์ช จำกัด(มหาชน) หรือ PQS ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลังและแป้งดัดแปร เปิดเผยว่า มองว่าราคามันสำปะหลังในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ยังคงมีความผันผวนอยู่ เพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง

ไม่ว่าจะด้วยเศรษฐกิจในประเทศที่ไม่ได้ฟื้นตัวดีอย่างที่คาดการณ์ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มถดถอย สงครามการค้าโลกที่เข้มข้นและมีความไม่แน่ไม่นอน กำลังซื้อที่ชะลอตัวลง การส่งออกมีโอกาสลดลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และยังต้องรอดูว่าสหรัฐฯ และจีนจะหาจุดกึ่งกลางทางการค้าได้หรือไม่

นอกจากนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2567 ลูกค้าจีนเริ่มมีการสั่งซื้อแป้งมันเพื่อไปสต๊อกสินค้าไว้ค่อนข้างมาก ประกอบกับด้วยความกังวลต่อเรื่องของภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาแป้งมันที่คาดว่าจะสูงขึ้นตาม ส่งผลให้คำสั่งซื้อในช่วงไตรมาส 2/2568 ชะลอตัวลง

แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ราคาแป้งมันฯ ปรับตัวลดลงกว่าปีก่อนตามต้นทุนราคามันสำปะหลังที่ลดลง ทำให้ลูกค้าเริ่มเร่งระบายสินค้าคงค้างกันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ยังคงเชื่อว่าการบริโภคแป้งมันฯ โดยรวมในปี 2568 ยังคงเติบโตได้ประมาณ 3% จากปีก่อน

"ต้องยอมรับว่าแป้งมันสำปะหลังไทยส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปยังประเทศจีนเป็นตลาดหลัก แม้ว่าความต้องการบริโภคแป้งมันสำปะหลังยังคงมีอยู่ แต่ด้วยกำลังซื้อที่ลดลง ก็มีผลทำให้โอกาสในการส่งออกไทยน้อยตามไปด้วย"

ราคามันสำปะหลังครึ่งหลังปี

ปัจจุบันราคามันสำปะหลังเชื้อแป้ง 25% แกว่งอยู่ในกรอบประมาณ 1.80 - 2.15 บาท ขึ้นอยู่กับว่ามีคุณภาพเชื้อแป้งมากน้อยแค่ไหน แต่หากว่าเชื้อแป้งอยู่ที่ระดับ 30% ราคารับซื้อหัวมันสดหน้าโรงงานก็อาจเพิ่มขึ้นไปถึง 2.25 - 2.55 บาท/กิโลกรัม ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงเมื่อเทียบกับปลายปี 2567

ส่วนโรงงานบริษัทมีการรับซื้อมันสำปะหลังที่มีเชื้อแป้งระดับ 25% อยูที่ระดับเฉลี่ย 1.80 - 1.90 บาท/กิโลกรัม แต่อย่างไรก็ดี มองว่าเป้นปกติของทุกปีอยู่แล้ว เพราะช่วงนี้จะเป็นโลวซีซันของการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ทำให้ราคาปรับตัวลดลง

โดยคาดว่าจะเห็นสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวของราคามันสำปะหลังในช่วงไตรมาส 3/2568 หรือประมาณในช่วงเดือนตุลาคม เป็นต้นไป และจะพีคที่สุดในช่วงเดือนธันวาคมต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมกราคม เพราะเป็นรอบของการเพาะปลูกมันสำปะหลัง

ทั้งนี้ ด้วยการเข้าสู่โลวซีซันของธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/2568 ทำให้แนวโน้มยอดขายโดบรวมอาจไม่ได้สูงมากนักเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 ทำให้บริษัทวางแผนที่จะทยอยปิดซ่อมบำรุงเครื่องจักรในการผลิตบางส่วน ทำให้คาดว่าอัตราการใช้กำลังผลิตจะอยู่ที่ประมาณ 10 - 20% ของกำลังการผลิตทั้งหมด และทั้งปียังคงรักษาระดัยเฉลี่ยที่ 70 - 80%

ปักธงผลงานโต30%

สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2568 บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้และยอดขายไว้ที่ไม่น้อยกว่า 30% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ระดับ 854.72 ล้านบาท หลักๆ เป็นผลมาจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) โรงงานผลิตใหม่ทั้ง 2 แห่ง ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นขึ้นมาเป็นกว่า 2.3 - 2.5 แสนตัน/ปี จากเดิมที่มีประมาณ 1 แสนตัน/ปี

โดยโรงงานแห่งใหม่ทั้ง 2 แห่ง ประกอบด้วยโรงงานแป้งมันสำปะหลังในจังหวัดกาฬสินธุ์ และโรงงานผลิตแป้งมันดัดแปร (Modified Starch) ในจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเริ่ม COD แล้วตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา

โดยกลุ่มสินค้า Modified Starch เป็นกลุ่มที่อัตรากำไรที่ค่อนข้างสูงกว่าผลิตภัณฑ์แป้งดั้งเดิม โดยคำสั่งซื้อส่วนใหญ่จะเป็นไปตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าในแต่ละราย ดังนั้น นอกเหนือจากจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิต ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้กับบริษัทได้อีกด้วย

โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า High Value ที่มีมาร์จิ้นสูงและเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมอาหารระดับสากล คาดว่าผลิตภัณฑ์แป้งมันดัดแปรจะสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% ของรายได้รวมในปีนี้ และจะเป็นผลิตภัณฑ์หลักในระยะยาวของบริษัท โดยเฉพาะเมื่อบรรจุอยู่ในแผนขยายตลาดส่งออกนอกเหนือจากจีน

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบต่อธุรกิจ เนื่องจากตลาดส่งออกหลักของ PQS คือ ประเทศจีน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งหลังการขึ้นดำรงตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีผลให้การดําเนินกิจกรรมการค้าทางฝั่งจีนได้รับผลกระทบอยู่บ้าง

ดังนั้น บริษัทจึงได้วางแผนรองรับด้วยการขยายช่องทางการจัดจําหน่ายไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงประเทศใดประเทศหนึ่งมากจนเกินไป ซึ่งจะมีทั้งไต้หวัน มาเลเซีย กลุ่มประเทศในอาเซียนที่ยังมีศักยภาพในการเติบโต เช่น ฟิลิปปินส์ และกลุ่มตะวันออกกลาง เป็นต้น

แกะงบ Q1/68 เทียบ Q1/67

  • รายได้รวม อยู่ที่ 471.73 ล้านบาท ลดลง 382.99 ล้านบาท หรือ -44.80% จากปีก่อนที่ 854.72 ล้านบาท 
  • กำไรสุทธิ 54.97 ล้านบาท ลดลง 73.8 ล้านบาท หรือ -57.30%จากปีก่อนที่ 128.77 ล้านบาท
  • กำไรสะสม อยู่ที่ 673.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.58 ล้านบาท หรือ 13.21% จากปีก่อนที่ 594.64 ล้านบาท
  • อัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ 11.65% ลดลงจากปีก่อนที่ 15.07%
  • อัตรากำไรขั้นต้น 28.42% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 24.71%