PTG มองครึ่งปีหลังผลงานยังโตได้ 5-8% กางแผนดันลูกเข้าระดมทุน 10 บริษัท

28 พ.ค. 2568 | 00:30 น.

PTG มองดีมานด์ใช้นำมันยังมี การบริโภคขยายตัวต่อเนื่อง หนุนธุรกิจ Non-Oil โดดเด่น กางแผนดันบริษัทย่อยระดมทุนกว่า 10 บริษัท ภายใน 2-3ปี เห็น "กาแฟพันธุ์ไทย" เข้าระดมทุน ฝากโบรกชี้ไตรมาส 2/68 เห็นการฟื้นตัวของกำไร

นายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงินและความยั่งยืน และกรรมการบริหาร บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ภาพรวมธุรกิจ Oil ในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ยังต้องรอดูสถานการณ์สงครามการค้า และการเจรจาของนานาชาติกับสหรัฐฯ ว่าจะคลี่คลายมากน้อยแค่ไหน รวมถึงตัวเลขการส่งออกไทย

ต้องยอมรับว่านโยบายตอบโต้ทางภาษีของทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทอยู่บ้างแต่เป็นเพียงทางอ้อมและไม่ได้มากนัก โดยมองว่าความต้องการใช้งานน้ำมันยังมีอยู่ การเดินทางและการขนส่งสินค้าทางบกยังมีอัตราการขยายตัวที่ดี และแม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงแต่ภาคการบริโภคก็ไม่ได้ลดลงนัก

"ในช่วงวิกฤตโรคระบากจะเห็นได้ว่าแม้เศรษฐกิจจะหยุดชะงักแต่การบริโภคภายในประเทศยังมีระดับที่ดี ท้ายที่สุดเรายังต้องกินต้องใช้ แม้ว่าอาจไม่ได้ขยายตัวดีมากนักเมื่อเทียบกับช่วงที่เศรษฐกิจเป็นปกติ แต่ก็ไม่ลดลงมากอย่างที่ตลาดเป็นกังวลกัน"

ทั้งนี้ บริษัทเป้าหมายการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันธุรกิจ Oil ไว้ที่ 5 - 8% จากปีก่อน โดยในช่วงไตรมาส 1/2568 ธุรกิจ Oil มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 1.7 พันล้านลิตร และมีรายได้อยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 2.2% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน

ปัจจัยจากได้รับแรงหนุนจากการขยายเครือข่ายสถานีบริการ PT อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการ Renovate สถานีบริการและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบวงจรและทันสมัย รองรับระบบบดิจิทัล เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

รวมถึงการเติบโตของฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนกว่า 25 ล้านคน และบริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนสถานีบริการให้ครบ 2,279 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ 2568 โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 บริษัทมีสถานีบริการน้ำมันทั้งประเภท COCO และ DODO รวมอยู่ที่ 2,237 สาขา

ลุย Non-Oil เต็มสูบ

ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ในช่วงครึ่งหลังปี 2568 มองว่ายังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานบริษัทในปีนี้มีอัตราการเติบโตที่ดีจากปีก่อน รวมถึงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิไว้ใกล้เคียงเดิมที่ 6.66% และ 0.46% ในปี 2567 จากไตรมาสแรกที่ 7.11% และ 0.32% ตามลำดับ

โดยเฉพาะร้านกาแฟพันธุ์ไทย ที่ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทยังคงเดินหน้าขยายสาขาใหม่ๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงของลูกค้าให้มากขึ้น โดยปัจจุบันร้านกาแฟพันธุ์ไทยมีสาขาทั้งสิ้น 1.4 พันสาขา จากเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่วางไว้ไม่น้อยกว่า 2 พันสาขา

หรือในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะเร่งขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทย เพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 600 สาขา หรือเฉลี่ยราว 100 สาขาต่อเดือน พร้อมกันนี้ยังมีแผนการวางแคมเปญใหม่ๆ เพื่อทำการตลาดสื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงการเพิ่ม Touchpoints อื่นๆ ภายใต้ธุรกิจ Non-Oil เป็น 1,031 สาขา

"กาแฟพันธุ์ไทยยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของธุรกิจ Non-Oil ด้วยการขยายสาขาอย่างมีนัยสำคัญในปี  2568  โดยใช้กลยุทธ์การเลือกทำเลที่มีศักยภาพสูง เพื่อเข้าถึงฐานลูกค้าเป้าหมาย ฐานข้อมูลสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ สามารถกำหนดพื้นที่ขยายสาขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นไปยังทำเลที่มีศักยภาพ เช่น ย่านใจกลางเมือง (CBD), หัวเมืองหลักในจังหวัดต่างๆ, ศูนย์การค้า, ห้างสรรพสินค้า, สถานที่ราชการ, โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย เป็นต้น"

โดยการเติบโตของกาแฟพันธุ์ไทยไม่ได้มาจากเพียงการขยายสาขาเท่านั้น แต่ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของ SSSG ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการของลูกค้าสมาชิกและบุคคลทั่วไปที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภค

จากกลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าสัดส่วนกำไรขั้นต้นธุรกิจ Non-Oil จะอยู่ที่ 30 - 35% ของกำไรขั้นต้นรวมของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2567 นอกจากนั้นกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil ที่สูงขึ้นยังเกิดจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง และการพัฒนาแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการใช้บริการซ้ำ

พร้อมกันนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยาย Autobacs, Max Mart และ Subway ซึ่งเป็น Touchpoints สำคัญที่ช่วยเสริมระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดย Autobacs จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ Max Mart ขยายตัวเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่เข้าถึงง่ายและ Subway ช่วยเพิ่มทางเลือกด้านอาหารเพื่อสุขภาพให้กับลูกค้าในสถานีบริการน้ำมันและพื้นที่เชิงพาณิชย์

เตรียมดัน 10 บ.ย่อยระดมทุน

นายรังสรรค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนแผนการผลักดันบริษัทย่อยในเครือเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั้น คาดว่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้านี้ (2568 - 2570) บริษัทมีแผนที่จะนำ "กาแฟพันธุ์ไทย" เข้าระดมทุนเป็นลำดับถัดไป

จากปัจจุบันที่มี PTG และ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ซึ่ง AMA นั้น บริษัทถือหุ้นผ่าน บริษัท พีทีจี โลจิสติกส์ จำกัด จำนวน 124,320,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 24.00%

โดย AMA ประกอบ 1. ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางเรือระหว่างประเทศ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชชนิดต่างๆ ไปยังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียตะวันออก และ2.บริษัทย่อยให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางรถในประเทศ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิงและไบโอดีเซล B100

นอกจากนี้ ยังมีบริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ ATLAS ที่ประกอบธุรกิจจำหน่ายก๊าซแอลพีจีให้กับผู้ใช้ก๊าซภาคครัวเรือน ภาคขนส่งและ ภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันได้รับอนุญาตแบบคำขอให้เสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่แล้ว (Approved) และอยู่ระหว่างการเดินสายให้ข้อมูลนักลงทุน เบื้องต้นคาดว่าจะเข้าซื้อขายได้ภายในครึ่งหลังปีนี้

ทั้งนี้ ในระยะถัดไปบริษัทยังมีแผนที่จะผลักดันบริษัทย่อยอื่นๆ เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มเติม ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ในกระบวนการเตรียมความพร้อม (Pipeline) แล้วประมาณ 2-3 บริษัท ซึ่งทาง CEO ได้มีเป้าหมายคร่าวๆ ว่าอยากเห็นบริษัทย่อยเข้ามาระดมทุนให้ได้ราว 10 บริษัทในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัทพีทีจี เอ็นเนอยี สามารถแบ่งได้ตามการถือหุ้นได้เป็น 8 กลุ่มธุรกิจ แบ่งออกเป็น ธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและธุรกิจค้าปลีก, ธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG, ธุรกิจพลังงานทดแทนและการลงทุน, ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม, ธุรกิจศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์, ธุรกิจบริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money), ธุรกิจขนส่ง และธุรกิจบริหารและจัดการระบบ เป็นต้น

โบรกชูกำไรไตรมาส 2/68 ฟื้นตัว

บล.ลิเบอเรเตอร์ ระบุว่า ในไตรมาส 1/2568  กำไรหดเหลือ 190 ล้านบาท ลดลง -26% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ -17% เทียบไตรมาสก่อน จากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มน้ำมัน ปริมาณขายน้ำมันลด -3.1% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ -1.7% เทียบไตรมาสก่อน ที่ 1,667 ล้านลิตร

โดยเริ่มเห็นปริมาณขายหดตัวเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ในรอบหลายไตรมาส คาดมาจากกำลังซื้อที่ลดลงแต่ยังลดลงน้อยกว่าอุตสาหกรรมที่หด -3.6% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ -3.1% เทียบไตรมาสก่อน

ขณะที่ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.62 บาท/ ลิตร ลดลงจาก 1.65 บาท/ ลิตร ในไตรมาส 4/2567 จากราคาน้ำมันผันผวน และการบริหารจัดการของกองทุนน้ำมันไม่สอดคล้องกับราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น

กลุ่ม non-oil ยอดขายเพิ่ม +32.2% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง -2.3 % เทียบไตรมาสก่อน โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของยอดขายร้านกาแฟพันธุ์ไทย +113.1% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน +32.2 % เทียบไตรมาสก่อน จากการเพิ่มจำนวนสาขาเป็น 1,476 สาขา รวมถึงร้านค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาเพิ่ม โดยอัตรากำไรขั้นต้นคิดเป็น 33.0 % ของกลุ่มจาก 26.0 % ในไตรมาส 4/2567

ค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มขึ้น +20.9 % เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ +8.2 % เทียบไตรมาสก่อน จากการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นสำหรับร้านกาแฟพันธุ์ไทย 129 สาขาส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ขณะที่การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ 28 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน -2 ล้านบาท จากการดำเนินงานที่ดีขึ้น

แม้กลุ่มน้ำมันยังมีปัจจัยที่กระทบทั้งการแข่งขันที่มากขึ้น และปริมาณขายที่หดตัว แต่กองทุนน้ำมันที่เริ่มเป็นบวกคาดแรงกดดันด้านค่าการตลาดบรรเทาลง แต่กลุ่ม non-oil ยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการดำเนินงานหลังจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น และมีการประหยัดต่อขนาด แม้จะเห็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้คาดจะเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส 2/2568 ตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยที่ต้องตามต่อคือหลังแคมเปญการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่จะยังมีต่อหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมแย่ลงได้ กลยุทธ์รอดูการฟื้นตัวของปริมาณขาย และการแข่งขันในตลาด ดังนั้นจึงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 7.40 บาท

กูรูหั่นกำไรปี 68-69

ขณะที่ บล. เอเซียพลัส ระบุว่า ภาพรวมปี 2568 คาดสภาวะการแข่งขันในธุรกิจน้ำมันจะทวีความรุนแรง จากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันที่สูงขึ้น รวมถึง ภาครัฐฯคาดยังขาดสภาพคล่องในกองทุนน้ำมัน ประกอบกับราคาน้ำมันปัจจุบันที่ ปรับตัวลงแรงจึงคาดอัตรากำไรขั้นต้น/ลิตรทั้งปี 2568 ยังมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับ ค่าเฉลี่ยปี 2567 และในไตรมาส 1/2568 ที่ระดับ 1.65 บาท/ลิตร

ในส่วนภาพรวมธุรกิจและผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 นั้น ฝ่ายวิจัยคาดกำไรปกติฟื้นตัว เทียบไตรมาสก่อน หนุนจากทั้งธุรกิจ Oil ที่ยอดขายฟื้นตัว ตามฤดูกาล และธุรกิจ Non-Oil ที่เห็นการเติบโตต่อเนื่อง จากการขยายสาขาตามแผน

ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปี 2568 - 2569 ลง 5.0% และ 4.7% จากเดิม มาอยู่ที่ 1.2 และ 1.4 พันล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนการปรับลดปริมาณขายน้ำมันลงจากเดิมเฉลี่ยปีละ 5.0% มาอยู่ที่ 7.0 และ 7.4 พันล้านลิตร ตามลำดับ เพื่อให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ตลาดในปัจจุบันที่มีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ภายใต้หลักความระมัดระวัง

ภายใต้ประมาณการใหม่ ส่งผลให้ FV ปี 2568 อยู่ที่ 8.5 บาท/หุ้น (เดิม 9.5) คงคำแนะนำ Outperform จากแนวโน้มกำไรปกติระยะสั้นในไตรมาส 2/2568 ที่คาดฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน และภาพระยะ ยาว 1-2 ปีข้างหน้าที่ยังเห็นการเติบโต พร้อมคาดหวัง dividendyield เฉลี่ย 5-6% /ปี โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท