กูรูชี้กำไรแบงก์ไตรมาส 2/68 ส่อแผ่ว! NIM ลดจากดอกเบี้ยขาลง

24 พ.ค. 2568 | 00:00 น.

ดอกเบี้ยขาลงกดดัน NIM กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กูรูเตือนกำไรไตรมาส 2/68 มีแนวโน้มหดตัว รับผลกระทบสินเชื่อชะลอ-รายได้ดอกเบี้ยลด

จากสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งไทยและต่างประเทศที่มีความผันผวน และการกลับเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลว่าจากการที่ ธปท. หั่นดอกเบี้ยไทยลง และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกหากไทยถูกกดดันจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ จะกระทบต่อผลการดำเนินงานหุ้นกลุ่มแบงก์

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เผยมุมมองต่อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) ว่า ด้วยสินเชื่อสุทธิกลุ่มแบงก์ฯ ภายใต้หุ้น 8 ธนาคารที่ทางฝ่ายวิเคราะห์ ณ สิ้น เม.ย. 68 ชะลอตัว 0.6% จากเดือนก่อน ลดลง 2.0% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน หดตัวลง 1.1% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน

จากสินเชื่อรัฐบาล (KTB) และสินเชื่อรายย่อย อย่าง สินเชื่อเช่าซื้อ บ้าน และจำนำทะเบียนรถ (SCB, TISCO และ TTB) เพราะการปล่อย สินเชื่อใหม่อย่างระมัดระวัง ตามภาวะเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่สินเชื่อรายใหญ่ ของ TISCO และTTB ยังขยายตัว

หากพิจารณารายธนาคาร พบว่ามีเพียงสินเชื่อของ TISCO ที่เติบโต 0.6% จากเดือนก่อน ลดลง 0.5% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 0.2% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน จากลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และโรงไฟฟ้า

ส่วนแบงก์ที่เหลือสินเชื่อลดลงซึ่ง 3 อันดับแรก นำโดย BAY (-1.9% จากเดือนก่อน จากรายใหญ่และรายย่อย) ตามด้วย KTB (-1.0% จากเดือนก่อน จากลูกค้ารัฐบาล ส่วนรายใหญ่ และ SME ลดลงเล็กน้อย) และ KBANK (-0.6 จากเดือนก่อน)

โดยฝ่ายวิจัยคาดสินเชื่อช่วงไตรมาส 2-3/68 ยังซึม เพราะนโยบายสินเชื่อเข้มงวดของ ธ.พ. เพื่อลดปัญหา NPL ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาค และทิศทางสินเชื่อกระตุกตัวขึ้นบ้างในไตรมาส 4 เป็นไปตามฤดูกาล องค์ประกอบรวมคงคาดสินเชื่อ ณ สิ้นปี 68 ทรงตัวเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน (Sensitivity Analysis พบว่าทุก 1% ของสินเชื่อที่ เปลี่ยนแปลงจากสมมติฐาน จะส่งผลต่อกำไรสุทธิราว 0.8%)

ด้านเงินฝากกลุ่มฯ ณ สิ้น เม.ย. เพิ่ม 0.3% จากเดือนก่อน หลักๆ มาจาก KTB (จากลูกค้ารัฐบาลนำเงินมาฝากในบัญชี CASA) โดยรวม Loan to deposit ratio (LDR) อยู่ที่ 85.1% เทียบกับ 85.9% ณ สิ้น มี.ค. 68

ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ อิงฐานข้อมูล ธปท. พบว่าทิศทางสินเชื่อ NPL ที่ตกชั้นใหม่ (NPL Formation) ระหว่าง ไตรมาส 1/68 ทั้งระบบสถาบันการเงิน อยู่ในระดับที่ต่ำลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 สะท้อนการคุมเข้ม สินเชื่อปล่อยใหม่และการทำ Balance sheet clean up หนี้ที่มีปัญหาตั้งแต่โควิด ของแต่ละธนาคาร ช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นผล

ตามความเห็นฝ่ายวิจัย (และอาจมีส่วนจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ Responsible lending) แต่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ รวมถึงการชะลอตัวของภาคท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ทุกกลุ่มลูกหนี้ระยะข้างหน้า 

โดยภาพข้างต้น ทำให้ฝ่ายวิจัยประเมิน Credit cost ช่วงไตรมาสที่เหลือของปี ใกล้เคียงไตรมาส 1/68 ขณะที่ทิศทาง สินเชื่อยังซึมๆ มีโอกาสเห็นระดับ NPL ไต่ขึ้น แม้มูลหนี้ NPL ไม่ได้ปรับขึ้นมากก็ตาม

ภาพดังกล่าวมองว่า ธ.พ. ที่มีระดับ Coverage ratio สูงสุดในกลุ่มฯ 3 อันดับแรกอย่าง BBL (300%) ตามด้วย KTB (182%) และ TISCO (154%) จะเป็นกันชนช่วยให้ภาระการตั้งสำรองในช่วงไตรมาสที่เหลือของปี ไม่สูงขึ้นมาก จนกระทบกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับกลุ่มฯ ตามมุมมองของฝ่ายวิจัย

ทั้งนี้ การเตรียมออกจากแผนฟื้นฟูของ THAI (ยื่นศาลแล้ว 28 เม.ย. คาดรู้ผลภายใน มิ.ย.) ซึ่งหากหลังออกจาก แผนฯ ยังชำระหนี้ได้ต่อเนื่อง น่าจะนำไปสู่การเลื่อนชั้นขึ้นจาก NPL ในลำดับถัดไป (TFRS 9 กำหนดให้ลูกหนี้รับการปรับโครงสร้างหนี้จ่ายติดกัน 3 งวด จึงเลื่อนชั้นขึ้นเป็น Stage 2 และติดต่อกันอีก 9 เดือน จึงกลับมาเป็น Stage 1) นั้น

มองว่ามีโอกาสเป็นปัจจัยช่วยให้เจ้าหนี้ (ส่วนมูลหนี้ที่เหลืออยู่จากการแปลงหนี้เป็นทุน) อาทิ BBL และ KTB (ตาม MD&A ของ THAI ไตรมาส 1/68 เปิดเผยเงินกู้ยืมคงค้างกับ KTB อยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท หรือราว 3% ของมูลหนี้ NPL KTB ณ สิ้นไตรมาส 1/68 ที่ 9.5 หมื่นล้านบาท) สามารถบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้คล่องตัวมากขึ้นในช่วงท้ายปี

ไตรมาส 2/68 แบงก์กำไรหด

สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิกลุ่มฯ ในไตรมาส 2/68 ลดลงจากไตรมาสก่อน และ เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ผลกระทบหลักๆ มาจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ (NII) ชะลอตัว ทั้งมุมมองสินเชื่อไม่เติบโต ประกอบกับการลดอัตราดอกเบี้ย M-Rate ของ ธ.พ. ใหญ่

ด้าน Credit cost ทรงตัวไตรมาสก่อน แม้ NPL Formation ตามที่ได้กล่าวในช่วงก่อนมีสัญญาณดีขึ้น แต่เศรษฐกิจมหภาคข้างหน้าดูอ่อนแอ ทั้งนี้ สมมติฐาน NIM ฝ่ายวิจัย รองรับการลงดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังปี 68 (ปัจจุบัน 1.75%)

ภายใต้ NII ที่ถูกกดดัน รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมฝั่งธนาคารเติบโตจำกัดตามภาวะเศรษฐกิจ และ Credit cost ลดลงได้ยาก ทำให้การบริหารจัดการผลกระทบจากวงจรดอกเบี้ย มีเพียง 2 ช่องทาง คือ การบริหารค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (OPEX) และเพิ่มรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non - NII) ในกลุ่ม Capital market

ด้วยสัดส่วนกำไรสุทธิกลุ่มฯ ไตรมาส 1/68 คิดเป็นสัดส่วน 27% ของประมาณการทั้งปี (2.4 แสนล้านบาท ทรงตัวเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) สอดคล้องกับทิศทางกำไรช่วงไตรมาสที่เหลือของปีชะลอตัว และทำจุดต่ำสุดไตรมาส 4 อันเป็นผลจากค่าใช้จ่าย ดำเนินงาน (OPEX) และ Credit cost เพราะการเร่งบริหารจัดการ NPL เพื่อลดความเสี่ยงด้าน NPL ในปีถัดไป

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายประเมินว่าภาพรวมกลุ่มฯ มุม Valuation ไม่แพง บน PBV ต่ำ 1 เท่า และ Dividend Yield น่าสนใจ 6% ต่อปี โดยมองว่า ปัจจัยขับเคลื่อนข้างหน้ามาจากช่วงการจ่ายปันผลระหว่างกาล คงชอบธนาคารที่แนวโน้ม ROE ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ อย่าง KTB และ TISCO รวมถึงทั้งคู่ให้ Div yield ระดับ 7% -8% ต่อปี

โดยสรุปเรียงตามความชอบกลุ่มแบงก์ ดังนี้ KTB, TISCO > BBL > KBANK > SCB > TTB และ KKP ชอบน้อยสุดในกลุ่มฯ

ลุ้นสินเชื่อโตครึ่งปีหลัง

นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า ภาพรวมสินเชื่อกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นเดือนเม.ย. 68 อยู่ที่ 10.7 ล้านล้านบาท ลดลง 0.4% จากเดือนก่อน กดดันจากสินเชื่อรัฐบาล สินเชื่อองค์กรและสินเชื่อรายย่อยปรับลดลง โดยธนาคารที่รายงานสินเชื่อหดลงตัว จากเดือนก่อน ได้แก่ KTB, KBANK, KKP, TTB, SCB และ BBL ในทางกลับกัน มีเพียง TISCO ธนาคารเดียวที่รายงานสินเชื่อเติบโตจากเดือนก่อน

ฝ่ายวิจัยคาดว่าสินเชื่อน่าจะทรงตัวจากเดือนก่อน ในเดือนพ.ค. โดยคาดว่าทิศทางสินเชื่อของกลุ่มธนาคารจะเติบโตได้ในช่วงครึ่งหลังปี 68 จากความต้องการใช้สินเชื่อสำหรับเงินทุนหมุนเวียนและสินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้น จากการเข้าช่วงเทศกาลวันหยุดยาวปลายปี

ทั้งนี้ ปัจจุบันฝ่ายวิจัยเห็นความเสี่ยงจากสมมติฐานสินเชื่อปี 68 ของกลุ่มธนาคารราว 1-2% เนื่องจากประเมินว่าสินเชื่อของ KBANK, KTB และ TTB น่าจะมีความเสี่ยงของสินเชื่อในปีนี้ราว 1-3% จากสมมติฐานของฝ่ายวิจัย ส่วนแนวโน้มสินเชื่อของ BBL, KKP, SCB และ TISCO น่าจะสอดคล้องกับสมมติฐานของฝ่ายวิจัย

จากการคำนวณของฝ่ายวิจัย คาดว่ากำไรสุทธิสำหรับเดือนเม.ย. 68 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ราว 2.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน นำโดยกำไรสุทธิของ KKP, TTB, KTB, KBANK และ SCB ที่ปรับเพิ่มขึ้นเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ในทางกลับกัน โดยคาดกำไรสุทธิของ BBL และ TISCO จะปรับลดลงเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ในเดือนเม.ย. 68

บล.ดาโอ ชู KTB แกร่ง

บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า มีมุมมองเป็นลบต่อสินเชื่อในเดือน เม.ย. 68 ที่กลับมาหดตัวที่ -0.42% จากเดือนก่อน จากเดือน มี.ค. 67 ที่เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อน โดยการลดลงส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อภาครัฐที่ลดลงจากปีงบประมาณ และสินเชื่อเช่าซื้อที่ยังลดลงตามยอดขายรถยนต์ที่มีการปรับตัวลดลง และจากกำลังซื้อชะลอตัว รวมถึงหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้กลุ่มธนาคารมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่สินเชื่อรายใหญ่ยังคงทรงตัวได้

ขณะที่ทางฝ่ายคาดว่าสินเชื่อภาครัฐจะมี Momentum ที่เพิ่มขึ้นได้ในปีครึ่งหลังปี 68 ตามความคาดหวังว่าจะมีโครงการใหญ่ๆของภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้นได้ตามปีงบประมาณ และจากเม็ดเงินเพิ่มเติมจากภาครัฐอีก 1.57 แสนล้าบาท ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งนี้ ยังคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อรวมทั้งปี 68 ของกลุ่มไว้ที่ -1% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน (4 เดือนแรกปี 67 อยู่ที่ -1.1% เทียบช่วงเดียวกันกับปีนี้)

ด้าน NPL คาดว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นไม่น่ากังวลมากนัก เพราะแต่ละธนาคารมีการตั้งสำรองฯ จำนวนมากมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมีการทยอยขายหนี้เสียออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาด NPL ในปี 68 จะอยู่ที่ 3.18% จาก 3.05% ในปี 67

อย่างไรก็ตาม ยังคงน้ำหนักเป็นเท่ากับตลาด เลือก KTB เป็น Top pick ขณะที่ TISCO จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้สูงสุดในเดือน เม.ย. 68 ทางฝ่ายให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็นเท่ากับตลาด เพราะแนวโน้มกำไรปี 68 จะลดลงเล็กน้อยที่ -1% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน

แต่อย่างไรก็ดี valuation ยังถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.65x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) และทางฝ่ายยังคงเลือก KTB เป็น Top pick ขณะที่ TISCO จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้ในเดือน เม.ย. 68

สำหรับ KTB ราคาเป้าหมายที่ 25.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.75x (-0.50SD below 10-yr average PBV) เพราะภาพรวมของ NPL มีแนวโน้มที่ดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้ภาครัฐเป็นหลัก ประกอบกับแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 จะเพิ่มขึ้นเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนและไตรมาสก่อน จากสำรองฯ ที่จะลดลง

ประกอบกับมีการบริหารค่าใช้จ่าย (OPEX) ได้ดี ด้าน valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.65x (-1.00SD below 10-yr average PBV) ส่วนราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือระดับ 1 หมื่นล้านบาท อย่างต่อเนื่องมา 5 ไตรมาสติดกัน