SAMART ประกาศผลงานไตรมาสแรกปี 68 รายได้รวม 2.9 พันล้าน โตแกร่ง 38%

14 พ.ค. 2568 | 03:57 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ค. 2568 | 03:57 น.

SAMART เผยประกาศไตรมาสแรกปี 68 รายได้รวม 2.9 พันล้าน โต 38% จากปีก่อน ขณะที่กำไรจากการดำเนินธุรกิจ รวมแตะ 185 ล้าน

นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 บริษัทมีรายได้รวม 2,897 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 38%  มีกำไรอยู่ที่ 185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130 ล้านบาท หรือคิดเป็น 237% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 14 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ เนื่องด้วยในไตรมาสนี้ ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาคดีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างบริหารจัดการขยะในพื้นที่บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ที่ได้ยื่นฟ้องไปตั้งแต่ปี 59) โดยเมื่อคำนวณตามสัดส่วนงานตามสัญญา บริษัทต้องร่วมรับผิดชำระค่าปรับและค่าเสียหาย โดยสุทธิจากเงินค่าบริการงวดที่ 60 - 120 ที่บริษัทยังมิได้รับชำระ จำนวน 95 ล้านบาท และเงินตามภาระหนังสือค้ำประกันที่บริษัทได้ชำระไปแล้ว รวมเป็นเงินสุทธิจำนวน 4 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ

ปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ ส่งผลให้บริษัทได้มีการรับรู้ผลขาดทุนจากประมาณการทางบัญชีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีความทั้งหมดรวมเป็นจำนวน 129 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจจำนวน 56 ล้านบาท

วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART

"เมื่อพิจารณาผลงานและศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทโดยรวม ทั้งกลุ่มมีการเซ็นต์สัญญาโครงการเฉพาะไตรมาส 1 รวมแล้วกว่า 1,360 ล้านบาท เรามั่นใจว่าถึงแม้เราจะต้องรับรู้ผลขาดทุนจากประมาณการทางบัญชีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีความ แต่กลุ่มสามารถจะยังคงสร้างผลงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปี 68 อย่างแน่นอน เพราะจากผลงานของทุกสายธุรกิจมีโครงการที่ช่วยส่งเสริมให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น"

ประกอบกับเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ทาง TRIS Rating ได้มีการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของ SAMART และ SAMTEL จาก BBB (Positive Outlook) เป็น BBB+ (Stable Outlook) ซึ่งแสดงถึงความความมีเสถียรภาพ และความน่าเชื่อถือของบริษัทที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

สายธุรกิจ Digital ICT Solution 

โดย บมจ.สามารถเทลคอม มีรายได้รวม  1,339 ล้านบาท และมีกำไร 53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 240 %  จากช่วงเดียวกันปีก่อน  และจากเป้าหมายมูลค่างานที่คาดว่าจะเซ็นในปี 68 นี้ รวมไม่น้อยกว่า 9,500 ล้านบาท

ในไตรมาสแรกของปีได้มีการเซ็นสัญญารวมถึงชนะงานโครงการใหม่ไปแล้วรวมกว่า 4,000 ล้านบาท อาทิ โครงการที่ดำเนินการกับ บมจ.ท่าอากาศยานไทย, บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น รวมมูลค่างานในมือรอการรับรู้ประมาณ 7,900 ล้านบาท 

สายธุรกิจ Digital Communications 

โดย บมจ. สามารถดิจิตอล มีรายได้รวม 141 ล้านบาท และมีกำไร สุทธิ 19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 18 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสายธุรกิจนี้ ทั้งนี้รายได้หลักมาจากธุรกิจ Digital Trunked Radio ซึ่งมีการส่งมอบอุปกรณ์วิทยุสื่อสารให้แก่องค์กรผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทยอยรับรู้รายได้ประจำเพิ่มขึ้นจากค่าบริการ Air Time ต่อเนื่อง

ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน DTRS อยู่ในมือและใช้บริการอยู่แล้วประมาณ 79,000 เครื่อง และคาดว่าในไตรมาส 2 จะเพิ่มขึ้นอีก 500 – 1,000 เครื่อง รวมมูลค่างานในมือสะสมรวม 829 ล้านบาท 

สายธุรกิจ Utilities & Transportations 

มีรายได้รวม 1,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนกว่า 29% โดยผลประกอบการที่โดดเด่นมาจากธุรกิจด้านวิทยุการบินของบมจ.สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่น หรือ SAV  โดยไตรมาสแรก ปี 68 มีรายได้ถึง 500 ล้านบาท และกำไรมากถึง 142 ล้านบาท

ถึงแม้จะเป็นช่วง Low season ก็ยังสามารถทำรายได้และกำไรสุทธิเป็นสถิติสูงที่สุดหลังยุคโควิด-19 จากจำนวนเที่ยวบินที่ให้บริการรวมทุกประเภทที่มีจำนวนถึง 30,819 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 6,685 เที่ยวบิน หรือเพิ่มขึ้น 28%

โดยคาดว่าหลังเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ หรือสนามบินนานาชาติเตโชในกลางปีนี้ จะสร้างความคึกคักให้แก่การท่องเที่ยวกัมพูชา โดยน่าจะมีเที่ยวบินขึ้นลงตลอดทั้งปีแตะ 1.3 แสนเที่ยว ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้ประจำที่ทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่องจากโครงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ด้วยระบบ Direct Coding ซึ่งมีอายุสัญญานานถึง 7 ปี โดยมีรายได้ไตรมาสแรกปี 68 อยู่ที่ 259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจก่อสร้างโครงการสายส่งสถานีไฟฟ้าแรงสูงแบบครบวงจรก็ยังสามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้ไตรมาสแรกปี 68 อยู่ที่ 543 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 39% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

“ภาพรวมบริษัทจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคง และเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เรามองหาโอกาสใหม่ในการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ และเตรียมความพร้อมให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่องทั้งด้านเทคโนโลยีและบุคลากร เพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ภายใต้ความตั้งใจของเราที่ต้องการนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า และมอบบริการหลังการขายที่ดีที่สุดด้วย”นายวัฒน์ชัย กล่าวทิ้งท้าย