ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวันนี้ 13 พ.ค.68 เปิดตลาดแดนบวก ณ เวลา 10.17 น. ดัชนี SET Index บวก 13.12 จุด ขึ้นมาแตะระดับ 1,224.06 จุด ในระหว่างเปิดตลาดหุ้นภาคเช้าวันนี้ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบสูงสุดและต่ำสุดที่ระดับ 1,231.02 - 1,223.77 จุด มูลค่าการซื้อขายที่ 11,999.00 ล้านบาท
โดย 5 หุ้นมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ SET Index วันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นแรงหนุนมาจากการโยกเม็ดเงินจาก LTF มาเป็น Thai ESG ที่เข้ามาช่วยให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ยืนแดนบวกได้ต่อและผลักดันให้ดัชนียืนเหนือระดับ 1,220 - 1,250 จุดได้
ขณะเดียวกันการปรับขึ้นของ SET Index หลักๆ เป็นผลมาจาก สหรัฐฯ-จีน เห็นพ้องปรับลดภาษีการค้าลง 115% เหลือ 30% และ 10% ข้อตกลงชั่วคราวมีผล 90 วัน โดยผลการเจรจาถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาดและใช้เวลาสั้นกว่าที่ตลาดประเมิน โดยสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้าขาเข้าจากจีน 30% ขณะที่จีนจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 10% ข้อตกลงมีระยะเวลา 90 วัน โดยทั้งสองฝ่ายจะมีการจัดทำข้อตกลงในวงกว้างมากขึ้น
ขณะที่รมว.คลังสหรัฐฯ ยืนยันทั้งสองฝ่ายไม่ปรารถนาการแยกตัวทางเศรษฐกิจ แม้สหรัฐฯ ยืนยันจะแยกตัวเฉพาะส่วนในสินค้าที่เกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งท่าทีและผลการเจรจาดังกล่าวเป็นบวกกับทิศทางเศรษฐกิจโลก และสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งนี้ ผลการเจรจาเป็นอัพไซด์ต่อเศรษฐกิจไทยและโลก โดยระดับภาษี 30% ของจีนจะกลายเป็นเพดาน ทำให้ภาษีการค้าของประเทศอื่นๆ คาดจะลดลงเหลือระดับ 15-20%
สำหรับไทยที่ GDP ปีนี้ถูกคาดแถว 1.3-2% ก็จะทำให้น้ำหนักการเติบโตมาใกล้ฝั่ง 2% มากขึ้น ปัจจัยดังกล่าวเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (ประมาณการกำไรถูกปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาเฉลี่ย 15% สะท้อนการปรับลด GDP และ NIM) ขณะที่เป็นลบต่อกลุ่มการเงิน จากโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในระยะสั้นที่ปรับลดลง
ขณะที่ภาพเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้น และมีความเสี่ยงการชะลอตัวที่ลดลง จะบวกต่อกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่ปรับตัวลดลงมามากพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการซื้อขายภาคเช้าวันนี้หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี มีเม็ดเงินไหลกลับมาเข้าลงทุน ทั้ง PTT และ PTTCG ที่มากขึ้น
แม้ปัจจุบัน SET Index จะปรับตัวขึ้นเกินกว่าระดับก่อนประกาศภาษีการค้าตอบโต้ แต่หากพิจารณาหุ้นรายตัวในกลุ่มพลังงานและธนาคาร หลายตัวยังต่ำกว่าระดับดังกล่าว และมองเป็นโอกาส อาทิ PTTEP, PTT, KKP, KTB, SCB, BBL
ภาพรวมกลยุทธ์ มีโอกาสทดสอบกรอบ 1,250-1,280 จุด ภาษีการค้าตอบโต้ที่มีโอกาสลดต่ำลง ทำให้เศรษฐกิจไทยและโลกมีอัพไซด์ เป็นบวกต่อ ธนาคาร, พลังงาน, ปิโตรเคมี ขณะที่อาจเป็นลบต่อกลุ่มการเงินจากโอกาสปรับลดดอกเบี้ยที่ลดลง กลุ่มที่กระทบมากจากสงครามการค้ามาก โดยเฉพาะ กลุ่มอาหารที่มีรายได้จากสหรัฐฯ สูง (TU, ITC) และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อาจฟื้นตัวระยะสั้น แต่ยังมองเพียงการเก็งกำไร
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ประเมินกรอบดัชนีแนวรับไว้ที่ระดับ 1,200 และแนวต้านที่ระดับ 1,239-1,250 จุด สัดส่วนลงทุน แนะนำถือเงินสด 50% และพอร์ตหุ้น 50% เป็นต้น