ตลาดหุ้นทั่วโลกปิดในแดนบวกเมื่อวานนี้ (12 พ.ค.) โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่พุ่งทะยานขึ้นกว่า 1,000 จุด หลังจากสหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว ซึ่งช่วยคลายความวิตกกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับสงครามการค้าโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตัวที่ 42,410.10 จุด เพิ่มขึ้น 1,160.72 จุด หรือ 2.81% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,844.19 จุด เพิ่มขึ้น 184.28 จุด หรือ 3.26% และดัชนี Nasdaq ซึ่งเน้นหุ้นเทคโนโลยีปิดที่ 18,708.34 จุด เพิ่มขึ้นมากถึง 779.43 จุด หรือ 4.35%
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่สหรัฐฯ และจีน สองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก สามารถตกลงกันเป็นการชั่วคราวในการลดภาษีนำเข้า ได้ช่วยบรรเทาความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่อาจทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเช่นกันท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายเชิงบวก โดยดัชนี CAC-40 ของฝรั่งเศสปิดที่ 7,850.10 จุด เพิ่มขึ้น 106.35 จุด หรือ 1.37% ขณะที่ดัชนี DAX ของเยอรมนีปิดที่ 23,566.54 จุด เพิ่มขึ้น 67.22 จุด หรือ 0.29%
ด้านตลาดหุ้นลอนดอน ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,604.98 จุด เพิ่มขึ้น 50.18 จุด หรือ 0.59% ตามทิศทางตลาดทั่วโลก โดยนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของสงครามการค้าเต็มรูปแบบ
ตลาดหุ้นเอเชียได้รับอานิสงส์จากข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ-จีนเช่นกัน โดยดัชนี HSI ของฮ่องกงปิดที่ 23,549.46 จุด พุ่งขึ้น 681.72 จุด หรือ 2.98% ส่วนดัชนี SSE Composite ของจีนแผ่นดินใหญ่ปิดที่ 3,369.24 จุด เพิ่มขึ้น 27.25 จุด หรือ 0.82%
ดัชนี NIKKEI 225 ของญี่ปุ่นปิดที่ 37,644.26 จุด เพิ่มขึ้น 140.93 จุด หรือ 0.38% ขณะที่ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ปิดที่ 2,607.33 จุด เพิ่มขึ้น 30.06 จุด หรือ 1.17% และดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 21,129.54 จุด เพิ่มขึ้น 214.50 จุด หรือ 1.03%
ตลาดที่ปรับตัวขึ้นแรงที่สุดในเอเชียคือตลาดหุ้นอินเดีย โดยดัชนี SENSEX ปิดที่ 82,429.90 จุด พุ่งขึ้นถึง 2,975.43 จุด หรือ 3.74%
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเช่นกัน โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่เพิ่มขึ้นว่าข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยุติลง ซึ่งจะช่วยหนุนความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 1.52% ปิดที่ 61.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่ตลาดกำลังฟื้นตัวจากความกังวลเรื่องสงครามการค้า นักลงทุนยังเฝ้าจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางตลาดการเงินในระยะถัดไป