สหรัฐอเมริกาและจีนประกาศว่าได้ตกลงที่จะหยุดพักการเก็บภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วัน และภาษีต่างๆ จะลดลงอย่างมาก ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าสงครามการค้าเต็มรูปแบบอาจถูกหลีกเลี่ยงได้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น
สก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะลดภาษีศุลกากรซึ่งกันและกัน 115% โดยจีนจะลดภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ 125% เหลือ 10% ส่วนสหรัฐฯ จะลดภาษีสินค้าจากจีน 145% เหลือ 30%
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่าทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินการภายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นอกจากนี้ยังกล่าวว่าจะใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อระงับหรือยกเลิกมาตรการตอบโต้ที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรที่ดำเนินการกับสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่จากทั้งสองประเทศยืนยันการบรรลุข้อตกลงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยนับเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
14.17 น. ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีหุ้นสหรัฐฟิวเจอร์สพุ่งหลังสหรัฐฯ-จีนออกแถลงการณ์ร่วม
ซีเอ็นบีซีรายงานว่า ข้อตกลงทางการค้านี้จะลดอัตราภาษี "ตอบโต้" ระหว่างทั้งสองประเทศจาก 125% เหลือเพียง 10% แต่สหรัฐฯ จะยังคงเก็บภาษีนำเข้า 20% สำหรับสินค้าจีนที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล ทำให้อัตราภาษีรวมสำหรับสินค้าจากจีนอยู่ที่ 30%
นายสก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวในการแถลงข่าวว่า "เรามีการเจรจาที่มีประสิทธิผลมาก และผมเชื่อว่าสถานที่เจรจาที่เลคเจนีวาได้เพิ่มความสมดุลให้กับกระบวนการซึ่งเป็นไปในเชิงบวกอย่างมาก"
เขายังเสริมว่า "เราได้บรรลุข้อตกลงในการหยุดพักเป็นเวลา 90 วันและลดระดับภาษีลงอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายจะลดภาษีตอบโต้ลง 115%"
ทั้งจีนและสหรัฐฯ ประกาศว่าจะดำเนินการเจรจานโยบายเศรษฐกิจและการค้าต่อไป
นักลงทุนต่างมีความหวังจากข่าวการพักการเก็บภาษี ในสหรัฐฯ ฟิวเจอร์สของ Nasdaq ชี้ว่าจะเพิ่มขึ้น 3.6% ฟิวเจอร์สของ S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.8% และดาวโจนส์เพิ่มขึ้นเกือบ 1,000 จุด หรือ 2.3%
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ICE ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน โดยดัชนีซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับตะกร้าสกุลเงินทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1.3% มาอยู่ที่ 101.63
ในยุโรป ดัชนี Stoxx 600 เพิ่มขึ้น 0.7% ในช่วงต้นของการซื้อขาย
ขณะที่แถลงการณ์ร่วมซึ่งเผยแพร่โดยทำเนียบขาวระบุถึงการลดภาษีศุลกากรโดยทั้งสองฝ่าย และการจัดตั้งกลไกใหม่สำหรับการเจรจาทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ตามแถลงการณ์ดังกล่าว ทั้งสองประเทศได้ให้คำมั่นที่จะดำเนินการเฉพาะภายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 โดยสหรัฐฯ จะระงับภาษีเพิ่มเติม 24 เปอร์เซ็นต์ที่เรียกเก็บจากสินค้าจีนตามคำสั่งบริหาร 14257 ลงวันที่ 2 เมษายน 2568 ขณะที่ยังคงอัตราภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ไว้ นอกจากนี้ สหรัฐฯ จะยกเลิกภาษีที่เรียกเก็บตามคำสั่งบริหาร 14259 และ 14266 ลงวันที่ 8 และ 9 เมษายน 2568 อย่างสมบูรณ์
ในการตอบสนอง จีนจะดำเนินการลดภาษีในลักษณะเดียวกัน โดยระงับภาษีเพิ่มเติม 24 เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้าอเมริกัน ขณะที่ยังคงอัตราภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ไว้ จีนจะยกเลิกภาษีที่เรียกเก็บตามประกาศฉบับที่ 5 และ 6 ปี 2568 จากคณะกรรมการภาษีศุลกากรแห่งสภาแห่งรัฐ และระงับมาตรการตอบโต้ที่ไม่ใช่ภาษีทั้งหมดที่ใช้กับสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2568
ข้อตกลงนี้ได้จัดตั้งกลไกการเจรจาอย่างเป็นทางการสำหรับการหารือทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยจีนจะมี เหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทน ขณะที่ทีมของสหรัฐฯ จะนำโดย สก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ เจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ การประชุมในอนาคตจะสลับกันจัดในทั้งสองประเทศหรืออาจจัดในประเทศที่สามก็ได้
ข้อตกลงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังจากเกิดการเพิ่มภาษีศุลกากรอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนา "ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่ยั่งยืน ระยะยาว และเป็นประโยชน์ร่วมกัน" บนพื้นฐานของ "การเปิดกว้างซึ่งกันและกัน การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือ และการเคารพซึ่งกันและกัน"
ข้อตกลงนี้ถือเป็นพัฒนาการสำคัญในการลดความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกและการค้าระหว่างประเทศ