ในโลกปัจจุบัน เทคโนโลยีช่วยให้เราสามารถเชื่อมต่อกับคนทั่วโลกได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ต่างจากเมื่อ 30-40 ปีที่แล้วที่การติดต่อสื่อสารยังไม่สะดวกสบายเท่าปัจจุบัน การพัฒนาด้านเทคโนโลยีนี้ได้ส่งผลกระทบต่อหลายๆ ด้าน
รวมถึงการลงทุน ทำให้โอกาสต่างๆ เปิดกว้างมากขึ้น เช่น การซื้อขายคริปโตที่สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ไม่จำกัดเฉพาะคนในประเทศนั้นๆ หรือคนที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศนั้นๆ
รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ที่ออกแบบมาให้ตอบสนองตามยุคสมัย เช่น Depositary Receipts (DRs) แต่หลายคนกลับมองข้ามโอกาสเหล่านี้
หนึ่งในคำพูดที่คนพูดกันบ่อยๆ คือ “ในระหว่างที่ตลาดไม่เป็นใจให้ฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อวันหนึ่งเมื่อมันเป็นใจเราจะได้พร้อมเก็บเกี่ยวกำไร” คำนี้ฟังดูดีใช่ไหมครับ? การเก็บเกี่ยวประสบการณ์นั้นสำคัญมาก
แต่เราก็ต้องระลึกว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ หากตลาดที่คุณลงทุนในปัจจุบันไม่เอื้อต่อแผนการลงทุนของคุณในระยะยาว เช่น 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า คุณจะรับมือกับความท้าทายและความกดดันทางการลงทุนอย่างไร?
เราควรเตรียมตัวให้พร้อมในทุกสถานการณ์เพื่อให้สามารถจัดการกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสภาวะตลาดที่ไม่เอื้อต่อการลงทุนของเรา
ลองพิจารณาผลตอบแทนของดัชนี SET Index ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2019-2024) ที่ให้ผลตอบแทนติดลบ 11.6% ในขณะที่ S&P 500 ให้ผลตอบแทนรวม 128% ในช่วงเวลาเดียวกัน หากคุณลงทุนในดัชนีเหล่านี้ตั้งแต่ต้นปี 2019 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2024 คุณจะเห็นความแตกต่างของผลตอบแทนอย่างชัดเจน
การลงทุนในตลาดที่ผลตอบแทนโดยรวมไม่ดี ก็ย่อมทำให้การลงทุนในหุ้นนั้นยากขึ้น แม้จะมีหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีในบางปี แต่โดยรวมแล้ว ตลาดที่ไม่เติบโตย่อมส่งผลกระทบต่อลูกค้าและผู้ลงทุน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะเลือกตลาดหรือสินทรัพย์ใดๆ
การปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
การเลือกตลาดที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ แต่การปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากตลาดทุกตลาดไม่เหมือนกันและมีสภาวะที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา การปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดนั้นจึงเป็นกุญแจสำคัญในการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ โดยมีขั้นตอนที่สามารถปฏิบัติได้ดังนี้:
แต่ถ้าตลาดอยู่ในภาวะขาลง (Bear Market) หรืออยู่ในสภาวะ Sideway (ตลาดที่ไม่เคลื่อนไหวอย่างชัดเจน) การปรับกลยุทธ์เพื่อปกป้องทุน เช่น การใช้กลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) หรือการเลือกสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำก็จะเหมาะสมกว่า
ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งเป้าหมายการลงทุนระยะยาวโดยต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง คุณอาจเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนหรือหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ
ดังนั้นการเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดและแผนการลงทุนของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตหรือมีเสถียรภาพสูงในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน อย่างเช่น คริปโตเคอเรนซี่ในช่วงปีที่ผ่านมา หรือการเก็งกำไรค่าเงิน หรือทองคำช่วงตลาดมีความกลัว
การเลือกตลาดที่เหมาะสมและการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เกิดขึ้น จะช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ในบางครั้งเราอาจไม่ได้ต้องการเป็นนักลงทุนที่ต้องทุ่มเทเวลาในการเรียนรู้หรือประสบความสำเร็จในตลาดที่ยากเกินไป
หากตลาดที่ง่ายและเหมาะสมสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ การเลือกตลาดที่ถูกต้องและใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตลาดนั้นๆ จึงเป็นวิธีการที่ดีกว่าในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง
สุดท้าย การลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเวลาในตลาดที่ยากเกินไป สิ่งที่สำคัญคือการเลือกตลาดที่เหมาะสมและสามารถสร้างผลตอบแทนได้จริง โดยการใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่คุณลงทุน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการในระยะยาว