นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า ผลการสรุปข้อมูล Media Briefing ประจำเดือนพฤษภาคม 2568 ในครั้งนี้ ประกอบด้วย 4 หัวข้อสำคัญ ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมาย, การดำเนินการของ "สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน", การจัดการบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลและปิดกั้นแพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับอนุญาต, กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
นับตั้งแต่เดือนมกราคม ต่อเนื่องถึงเดือนเมษายน 2568 การดำเนินคดีอาญาของ ก.ล.ต. ได้มีการกล่าวโทษผู้กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวน (บก.ปอศ. และดีเอสไอ) หรือคดีอาญา รวม 7 คดี มีผู้กระทำผิด 26 ราย จากฐานความผิด ได้แก่ สร้างราคา 4 คดี ผู้กระทำผิด 14 ราย, แพร่ข่าว/ข้อความเท็จ 1 คดี ผู้กระทำผิด 1 ราย และประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต 2 คดี ผู้กระทำผิด 11 ราย
ทั้งนี้ การดำเนินการตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด รวม 8 คดี ผู้กระทำผิด 42 ราย ฐานความผิด ได้แก่ แพร่ข่าว/ข้อความเท็จ 1 คดี ผู้กระทำผิด 2 ราย, สร้างราคา 4 คดี ผู้กระทำผิด 26 ราย, ใช้ข้อมูลภายใน/การเปิดเผยข้อมูลภายใน 2 คดี ผู้กระทำผิด 12 ราย และ แสดงข้อความอันเป็นเท็จ/ปกปิดข้อความจริง 1 คดี ผู้กระทำผิด 2 ราย
โดยการสร้างราคา 4 คดี ประกอบด้วย 1) ผู้กระทำความผิด 2 ราย กรณีสร้างราคาหลักทรัพย์ RPC, 2) ผู้กระทำความผิด 1 ราย กรณีสร้างราคา 4 หลักทรัพย์ ได้แก่ ABM F&D TVDH-W3 และ AMR, 3) ผู้กระทำความผิด 13 ราย กรณีสร้างราคา 4 หลักทรัพย์ ได้แก่ MAX EIC NEWS และ NEWS-W5 และ 4) ผู้กระทำความผิด 10 ราย กรณีสร้างราคาหรือปริมาณหลักทรัพย์ TCC
ขณะที่การตกลงทำบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 รวม 4 คดี มีผู้กระทำผิด 14 ราย โดยมีค่าปรับทางแพ่ง จำนวน 14.14 ล้านบาท และชดใช้เงินเท่าผลประโยชน์ที่ได้รับ จำนวน 10.20 ล้านบาท ซึ่งการมีคำพิพากษาในคดีที่ ก.ล.ต. ยื่นฟ้องเพื่อให้ศาลแพ่งกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง คดีมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำนวน 6 คดี (ศาลชั้นต้น 1 คดี และศาลอุทธรณ์ 5 คดี)
ศาลพิพากษาให้ ก.ล.ต. ชนะคดี โดยลงโทษและกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งแก่จำเลยในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น/ศาลอุทธรณ์ จำนวน 15 คดี แบ่งเป็น 11 คดี อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น และ 4 คดี อยู่ระหว่างอุทธรณ์ (ทั้ง 4 คดี ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ ก.ล.ต. ชนะคดี โดยลงโทษและกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งแก่จำเลยในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด)
ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแสหลอกลงทุน รวม 2,735 ครั้ง ผ่านระบบรับแจ้งใน 6 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. (www.sec.or.th/scamalert) โทรศัพท์ (1207 กด 22) อีเมล ([email protected]) เดินทางมาที่สำนักงาน ระบบบริการสนทนา และไปรษณีย์
โดยมีบัญชีโซเชียลมีเดียเข้าข่ายหลอกลงทุนที่ประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อปิดกั้น จำนวน 1,849 บัญชี ซึ่งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้ปิดกั้นไปแล้ว 99.94% ภายในเวลา 7 นาที ถึง 48 ชั่วโมง และให้คำปรึกษาในเรื่องการหลอกลงทุน จำนวน 886 ครั้ง
ด้านความคืบหน้าการดำเนินการหลังจาก พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ และ พ.ร.ก. อาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ ฉบับแก้ไขมีผลใช้บังคับ (13 เม.ย. 68) โดยผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้มีการระงับบัญชีต้องสงสัยว่าเป็นบัญชีม้า ตามที่ได้รับข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ไปแล้วมากกว่า 27,000 บัญชี รวมมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 169.29 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 18 เม.ย.)
สำหรับการปิดช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้าข่ายเป็นการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีกระบวนการที่กระชับกว่าเดิม เนื่องจากมีการลดขั้นตอน
ในเรื่องมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของ Thai ESG ในประเทศไทยนั้น มีการเพิ่มขึ้นในทุกประเภทกองทุน โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 ขยายตัว 17.42% มาอยู่ที่ 34,745 ล้านบาท จาก 29,591 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2567 แสดงถึงการขยายตัวของ Thai ESG อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารหนี้ เพิ่มขึ้นถึง 31.42% จากสิ้นปี 67 ขณะเดียวกัน Thai ESG ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุน เพิ่มขึ้น 1.94% จากสิ้นปี 67 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ Thai ESG (ซึ่งจะเป็นเกณฑ์สำหรับ Thai ESGX ด้วย) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนโทเคนดิจิทัลกลุ่มความยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ผู้ประเมิน ESG และการบริหารสภาพคล่อง (เปิดรับฟังความเห็นจนถึง 28 พ.ค. 68)
สำหรับความคืบหน้า กรณี ก.ล.ต. มีการบังคับใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับ นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ และห้ามเป็น บริหารในบมจ. เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) แต่ปัจุบันยังคงดำรงอยู่ในดำแหน่งบริษัท ถือว่ากรณีดังกล่าวเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารยังไม่ลงจากตำแหน่ง
ซึ่งโดยส่วนมากเมื่อก.ล.ต.ชี้มูลความผิดแล้ว ผู้บริหารจะลาออกจากตำแหน่งด้วยตนเอง เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญกับ บรรษัทภิบาล (Corporate Governance)
"นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อถูกทางการชี้มูลความผิดแล้ว โดยเฉพาะได้รับการพิจารณาลงโทษทางแพ่ง ถ้าชี้แล้ว มักจะต้องออก เพราะบริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล เพราะงั้นการที่ผู้บริหารมีชื่อเสียงแบบนี้ ส่วนมากเจ้าตัวจะลาออกเอง และไม่ค่อยมีการปลดออก เพราะเขาต้องการรักษาบริษัท"
ตามมาตรการลงโทษดังกล่าวยังไม่มีผลเบ็ดเสร็จ หากยังไม่ได้รับการเซ็นยินยอมจากผู้ถูกชี้มูลกระทำผิด โดยผู้บริหารยังดำรงตำแหน่งได้ไม่มีความผิด ซึ่งกระบวนการเซ็นสัญญายินยอม มีช่วงระยะเวลาให้พิจารณาโดยผู้กระทำผิดอาจขอขยายระยะเวลาได้ ซึ่งขึ้นกับการพิจารณาความสมเหตุสมผลจาก ก.ล.ต. ประกอบกัน และหากผู้ถูกชี้มูลความผิดไม่เซ็นยินยอม จะเข้าสู่กระบวนการนำส่งสำนวนต่อตุลาการต่อไป
นอกจากนี้กลับกันหากผู้ถูกชี้กระทำผิดเซ็นยินยอม และบริษัทฯ ยังแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหาร บริษัทฯ จะมีความผิด เนื่องจากผิดคุณสมบัติการปฏิบัติหน้าที่