นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน) หรือ PI เปิดมุมมองต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ ว่า แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะปรับลดลงล้อกับสินเชื่อ และส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin หรือ NIM) ที่อ่อนแอลง
ทั้งนี้ ธนาคาร 8 แห่งรายงานกำไรสุทธิรวมในไตรมาส 1/68 ที่ 5.93 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเติบโต 11.4% จากไตรมาสก่อน) หนุนจาก 1) กำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) สูงขึ้น, 2) กำไรจากการขายเงินลงทุนเพิ่มขึ้น และ 3) ค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง
โดยทางฝ่ายพบว่า 1) BBL KBANK KTB SCB โดดเด่นมีกำไรเติบโตทั้งเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ จากไตรมาสก่อน, 2) CREDIT มีกำไรสุทธิเติบโตสูง เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่ลดลง จากไตรมาสก่อน 3) TTB มีกำไรลดลงเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน และ 4) KKP TISCO กำไรสุทธิปรับลดลงทั้งเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจากไตรมาสก่อน สินเชื่อลดลง จากไตรมาสก่อน และหนี้เสียเพิ่มขึ้น แต่เป็นระดับที่ควบคุมได้
แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการ Easy E-Receipt 2.0 และเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 เข้ามาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ธนาคารยังคงคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อใหม่ และการชำระคืนหนี้ของลูกค้าที่เกิดขึ้นเป็นปกติในไตรมาส 1/68 หลังจากมีการใช้จ่ายสูงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
สินเชื่อรวมในไตรมาสแรกปีนี้ปรับลดลง 0.6% จากไตรมาสก่อน (-1.2% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) และมีเพียง BBL CREDIT SCB สินเชื่อขยายตัวจากไตรมาสก่อนในไตรมาส 1/68
ผลกระทบจากเศรษฐกิจฟื้นตัวเปาะบาง โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อคุณภาพสินเชื่อดีขึ้น เพราะลูกหนี้ที่เข้าโครงการยังต่ำเป้าหมายค่อนข้างมาก กอปรกับฐานสินเชื่อลดลงทำให้ NPL ratio ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากไตรมาสก่อน ที่ 3.7%
ขณะที่ Coverage ratio ของกลุ่มธนาคารเพิ่มเป็น 188% ในไตรมาส 1/68 นโยบายการค้าของสหรัฐกดดันความสามารถทำกำไรอ่อนแอลง คาดกำไรรวมปี 68 ลดลง 0.6%
"จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และประเทศไทยยังไม่มีความชัดเจนในการเจรจาการค้ากับสหรัฐ คาดว่ากำไรสุทธิรวมของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 1/68 อาจเป็นไตรมาสที่มีระดับกำไรสูงสุดของปี 68 และคาดแนวโน้มกำไรจะปรับลดลงชัดเจนมากขึ้นในครึ่งหลังปีนี้ หากภาครัฐไม่มีมาตรกระตุ้นทางเศรษฐกิจเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น และลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้าที่จะเกิดขึ้น"
ความท้าทายด้านเศรษฐกิจสูงขึ้น และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง กดดันความสามารถการทำกำไรของธนาคารมีแนวโน้มอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ ทางฝ่ายปรับลดประมาณการกำไรสุทธิรวมลง 4%/5.9% ในปี 68-69 จากการปรับลดการขยายตัวของสินเชื่อ และ NIM อ่อนแอลง ทำให้คาดว่ากำไรรวมในปี 68 จะปรับลดลง 0.6% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเติบโตเหลือ 2.5% ในปี 69
ทางฝ่ายคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” ภายใต้ความท้าทายเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ทำให้ความสามารถทำกำไรในปี 68 อ่อนแอลง ทั้งนี้ มองว่าพื้นฐานของกลุ่มธนาคารยังแข็งแกร่ง อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 6.7% ในปี 68 และ Valuation ไม่แพง กลุ่มฯ ซื้อขายที่ 0.7 เท่า PBV’25E (-0.5SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี)
จากความท้าทายทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงในอนาคต และอัตราผลตอบแทนที่จำกัดอาจเป็นปัจจัยเชิงลบกดดันราคาหุ้นธนาคารผันผวนมากขึ้นในระยะสั้น ดังนั้น แนะนำเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน จนกว่าจะมีความชัดเจนด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หรือการลงทุนมีอัตราผลตอบแทนสูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ โดยอัตราการทำกำไรลดลง และอัตราผลตอบแทนจำกัด
ด้วยความกังวลจากนโยบายการค้าของสหรัฐ และการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลักนำไปสูการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าโลก ทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับลดลงที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนสูง
โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดการเติบโตเศรษฐกิจไทยจาก 2.9% เหลือ 1.3% - 2.0% ในปี 68 ทั้งนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยขึ้นกับผลกระทบจากสงครามการค้า และภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย
ขณะเดียวกันคณะกรรมการนโยบายการเงินปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.75% ในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ยลงติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 หลังจากปรับลดลงในเดือน ก.พ. เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย
ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่สูงขึ้น และการปรับลดลงดอกเบี้ยกระทบต่อความสามารถการทำกำไรของธนาคารลดลง ดังนั้น ทางฝ่ายปรับลดประมาณการกำไรสุทธิรวมของกลุ่มธนาคารลง 4%/5.9% ในปี 68-69 ทำให้คาดว่ากำไรรวมในปี 68 ปรับลดลง 0.6% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และคาดการเติบโตเหลือ 2.5% ในปี 69
ด้วยปัจจัยจาก 1) ปรับลดสินเชื่อรวมจะไม่ขยายตัวในปี 68 และเติบโต 2% ในปี 69 (เดิม +2%/2.6% ในปี 68-69), 2) ปรับลดส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ลง 20/15 bps เหลือ 3.2%/3.1% ในปี 68-69 และ 3) ปรับลดรายได้ค่าธรรมเนียมโตลดลงเหลือ 3.2%/3.6% จากเดิมเติบโต 3.6%/3.9% ตามลำดับ
ภายหลังการปรับประมาณการกำไรสุทธิของทางฝ่าย คาดว่ากำไรสุทธิของ BBL CREDIT KBANK KTB จะทรงตัวและเติบโตเล็กน้อยในปี 68 และคาดกำไรของ KKP SCB TISCO TTB ปรับลดลง ผลกระทบจากการปรับลดการเติบโต และอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่จำกัด ทางฝ่ายปรับลดคำแนะนำของ KBANK และ CREDIT เป็นถือ และปัจจุบันแนะนำซื้อ BBL KTB
ท่ามกลางความท้าทายจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูงขึ้น และแนวโน้มกำไรของธนาคารอ่อนแอลงอาจกดดันราคาหุ้นผันผวนมากขึ้นหลังการรายงานผลการดำเนินงาน และการจ่ายเงินปันผลงวดปี 67 อย่างไรก็ดี ธนาคารมีความน่าสนใจด้านการลงทุนระยะยาว เนื่องจากงบดุลแข็งแกร่ง คาดผลตอบแทนเงินปันผลสูงเฉลี่ยที่ 6.7% ในปี 68 และ Valuation ที่ไม่แพง กลุ่มฯ ซื้อขายที่ 0.7 เท่า PBV’25E หรือราว -0.5SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี
กลุ่มธนาคารรายงานกำไรก่อนสำรองหนี้ฯ และภาษี (PPOP) ที่ 1.20 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเติบโต 8.4% จากไตรมาสก่อน และกำไรสุทธิรวมที่ 5.93 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 5.6% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเติบโต 11.4% จากไตรมาสก่อน
โดยกำไรเติบโตเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ จากไตรมาสก่อน หนุนจาก
สินเชื่อรวมในไตรมาส 1/68 ปรับลดลง 0.6% จากไตรมาสก่อน หดตัว -1.2% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) หลังจากความต้องการสินเชื่ออ่อนแอจากเศรษฐกิจฟื้นตัวจำกัดและไม่ทั่วถึงทำให้ธนาคารยังคงเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อใหม่ และการชำระคืนหนี้ของทั้งลูกหนี้ธุรกิจ และลูกหนี้รายย่อย หลังจากสินเชื่อขยายตัวแข็งแกร่งในไตรมาส 4/67
ธนาคารส่วนใหญ่รายงานสินเชื่อลดลง โดยมีเพียง CREDIT ที่สินเชื่อขยายตัวทั้งเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ขณะที่ BBL SCB สินเชื่อขยายตัว จากไตรมาสก่อน แต่ปรับลดลงเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน สะท้อนว่าในภาพรวม NIM ในไตรมาส 1/68 อ่อนแอต่อเนื่องผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
วัฐจักรดอกเบี้ยขาขึ้นสิ้นสุดลงในปลายปี 66 และทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศเริ่มปรับสู่ขาลง หลังจาก กนง. เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ต.ค. 67 และปรับลดต่อเนื่องในเดือน ก.พ. และเม.ย. 68 สำหรับในไตรมาส 1/68 ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เฉลี่ยของกลุ่มธนาคารอ่อนแอลงที่ 3.3% (-23 bps เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน, -17 bps จากไตรมาสก่อน) เป็นผลจาก
NIM ของธนาคารส่วนใหญ่ปรับลดลงทั้งเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ จากไตรมาสก่อน ยกเว้น TISCO ที่ NIM ลดลง จากไตรมาสก่อน แต่สามารถทรงตัวได้เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน
การฟื้นตัวเศรษฐกิจที่เปาะบาง และเป็นการฟื้นตัวแบบ K-Shaped recovery ทำให้ลูกค้ากลุ่มเปาะบาง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SME) และลูกค้าบุคคลที่มีปัญหายังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้เป็นปกติ ทำให้ ธปท. และธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่องหลายปี
โดยล่าสุดโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค. 67 ยังมีจำนวนลูกหนี้ที่เข้าร่วมต่ำกว่าเป้าหมาย ทำให้ ธปท. ขยายเวลาการเข้าร่วมโครงการจากเดิมสิ้นสุดในเดือน เม.ย. ไปเป็นสิ้นสุดเดือน มิ.ย. 68
ทั้งนี้ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เริ่มตั้งแต่ 12 ธ.ค. 67 มีการคาดการณ์ว่าครอบคลุมลูกหนี้ 1.9 ล้านราย ยอดหนี้รวมกว่า 8.9 แสนล้านบาท โดยมีแรงจูงใจว่าลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการสามารถลดภาระค่างวดปีที่ 1-3 ให้ลูกหนี้ชำระ 50% 70% และ 90% ของค่างวดเดิม ตามลำดับ และพักดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี
แม้จะมีความพยายามในการฟื้นฟูและช่วยเหลือลูกหนี้มากันอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเปาะบาง ทำให้หนี้เสียยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ยังเป็นระดับที่ธนาคารสามารถบริหารจัดการได้ และธนาคารมีการตั้งสำรองหนี้ฯ อย่างรัดกุมมาต่อเนื่องเป็นผลให้สามารถประคับประครองสถานการณ์มาได้ กอปรกับสำรองหนี้ฯ ที่ตั้งเพิ่มเติมไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อฐานะการเงิน และพื้นฐานของธนาคาร
ส่งผลให้ธนาคารยังคงเน้นนโยบายตั้งรับ เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อใหม่ ควบคู่กับการบริหารคุณภาพสินเชื่อ ท่ามกลางความท้าทายที่สูงขึ้นจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หนี้เสียปรับเพิ่มขึ้น 2.8% จากไตรมาสก่อน (+0.6% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน)
และฐานสินเชื่อที่ลดลง ทำให้ NPL ratio ของกลุ่มธนาคารปรับสูงขึ้นที่ 3.7% ในไตรมาส 1/68 จาก 3.6% ในไตรมาส 4/67 ขณะที่ Coverage ratio ปรับขึ้นเล็กน้อยที่ 188% จาก 187% ในไตรมาส 4/67 โดย Credit cost ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 143 bps (+7 bps เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน, +1 bps จากไตรมาสก่อน)