นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 ว่า ทางฝ่ายคาดการณ์ SET Index ยังแกว่งตัวผันผวน โดยนักลงทุนยังคงจับตามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
โดยเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว -0.3% ในไตรมาส 1/2568 สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าขยายตัว +0.2% หลังจากขยายตัว +2.4% ในไตรมาส 4/2567 แม้ดีกว่าแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัว -2.7% ในไตรมาส 1/2568 สร้างความกังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ
จากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากร และ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ "โดนัลด์ ทรัมป์" ยังได้ประกาศผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า จะมีการเรียกเก็บภาษีในอัตรา 100% กับภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผลิตในต่างประเทศ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในทันที
ด้าน FedWatch Tool ของ CME Group ประเมินว่านักลงทุนคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนพ.ค.และเดือนมิ.ย. นี้
ส่วน เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) เปิดเผยถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 50.8 ในเดือนเม.ย. ต่ำกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ 51.4 และชะลอลงจากระดับ 54.4 ในเดือนมี.ค.
ขณะที่มูดี้ส์ เรทติ้งส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ประกาศลดอันดับมุมมอง “แนวโน้ม” (Outlook) อันดับเครดิตของประเทศไทย จาก “มีเสถียรภาพ” ลงสู่แนวโน้ม “เชิงลบ” ซึ่งเป็นการปรับลงสู่ระดับ “Negative”เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 17 ปี รวมถึงปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงิน 7 แห่งของไทยเป็น "เชิงลบ" จาก "มีเสถียรภาพ"
ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลงต่ำกว่า 60 ดอลลาร์/บาร์เรล กดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะสิ้นสุดในวันที่ 15 พ.ค. ฝ่ายวิจัยจึงคาดกรอบดัชนีในเดือนนี้อยู่ที่ 1,160 - 1,220 จุด
นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ทางฝ่ายแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะประกาศผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/2568 ออกมาดี ได้แก่ STECON, OSP, WHA, TRUE และ ADVANC เป็นต้น
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาทองคำยังคงมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังคงรอความชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ประกอบกับนักลงทุนจับตาผลการประชุม FED ช่วงต้นเดือนพ.ค.68 นี้ เพื่อข้อสรุปถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่ภายหลัง “ทรัมป์” ประกาศระงับมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ เป็นเวลา 90 วัน พร้อมเผยว่ามีโอกาสที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับอินเดีย เกาหลี และญี่ปุ่น ทำให้นักลงทุนคลายความ กังวลสงครามการค้าลงบ้าง คาดทำให้มีแรงขายทำกำไรทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม FED เผยว่าอาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น หากพบว่า อัตราว่างงานพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงคาดการณ์ว่าปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้จะช่วยพยุงราคาทองคำ โดยให้กรอบทองคำเดือนนี้ 3,200-3,475 ดอลลาร์ต่อออนซ์