บล.พาย ชี้หุ้นไทยเดือนพ.ค.ไม่ง่าย รับแรงเสี่ยงรอบด้าน ลงทุนอย่างระมัดระวัง

04 พ.ค. 2568 | 23:30 น.

หุ้นไทย พ.ค. เจอศึกหนัก! บล.พายชี้เสี่ยงรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกแผ่ว เงินเฟ้อกดดัน กำไรบจ.เสี่ยงถูกหั่น นักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวัง

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยเดือนพ.ค. 68 นี้ มองว่าหนทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความเสี่ยง โดยตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นมาในเดือน เม.ย. แต่หลักๆ มาจากการปรับขึ้นของ DELTA หลังจาก DELTA ประกาศผลประกอบการดีกว่าคาดการณ์ แต่อย่างไรก็ตามให้ระมัดระวังจากราคาหุ้นที่แพง

ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณอ่อนแอเรื่อยๆ จากการจ้างงาน ความเชื่อมั่นผู้โภค PMI ที่ลดลง ขณะที่ช่วงถัดไปภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยเร่งเงินเฟ้อ รวมถึงสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจที่อาจนำพาสหรัฐฯ ไปสู่ Recession ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทย

ส่วนเศรษฐกิจไทยเต็มไปด้วยความเสี่ยง และเริ่มเห็นการปรับลดคาดการณ์ เชื่อว่าหลังจากนี้จะตามมาด้วยการปรับลดประมาณการกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มท่องเที่ยวเพราะจำนวนนักท่องเที่ยวเสี่ยงจะไปไม่ถึงเป้าหมายที่คาดการณ์กันช่วง 38 - 39 ล้านคน

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยแม้ Valuation จะไม่แพงเมื่อเทียบกับข้อมูลในอดีตแต่หากเทียบกับภูมิภาคถือว่าไม่ถูกเท่าใดนัก เมื่อประกอบกับความเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกทำให้แนะว่าควรเพิ่มระมัดระวังการลงทุน และเลือกเฉพาะหุ้นที่โอกาสถูกปรับลดกำไรค่อนข้างต่ำ

ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณชะลอตัวจากหลายๆสัญญาณไม่ว่าจะเป็น ดัชนี PMI ที่สำรวจจากสถาบัน ISM ทั้งภาคผลิตและภาคบริการที่เริ่มชะลอตัวลง สอดคล้องกับอัตราการว่างงานที่เริ่มขยับขึ้นและคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มจะขยับขึ้นขณะที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรก็เริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยลง

หากเป็นภาวะปกติอาจเห็นการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ดีปัจจุบันสิ่งที่พบเห็นคือทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯอาจเร่งสูงขึ้น เพราะภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯที่ประกาศขึ้นกับนานาประเทศ รวมถึงจีนที่ปรับขึ้นมากถึง 125% ข้อมูลล่าสุดจาก Bloomberg ทำการสำรวจสินค้าจาก SHEIN พบว่าบางสินค้าราคาปรับขึ้นมา 377% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (สินค้าราคา 1.3 ดอลลาร์ ปรับขึ้นมาเป็น 6.1ดอลลาร์)

และเชื่อว่าสินค้าอื่นๆ ราคาจะปรับขึ้นมาหลังจากนี้ นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้วหากพิจารณาการขยายตัวของราคาสินค้านำเข้ากับเงินเฟ้อสหรัฐฯ พบว่าทิศทางไปด้วยกัน ในขณะที่การเคลื่อนไหวของ Bond Yield พบว่าเม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์ระยะยาว

สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯระยะยาวที่ปรับขึ้น (อายุ 10 ปี) แต่หากเป็นระยะสั้นพบว่าเม็ดเงินไหลเข้าไป (อายุ 2 ปี) โดยปกติแล้ว 2 ปี มักคล้ายกับดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯ บ่งชี้ว่านักลงทุนประเมินว่าอาจเห็นการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)

ปัจจัยที่กล่าวไปทั้งหมดข้างต้น กำลังบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มิสู้ดีมากนักและอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ซึ่งมีหลายๆสัญญาณบ่งชี้ว่าสหรัฐฯ อาจไปสู่ภาวะถดถอย ยกตัวอย่างเช่น การเกิดความผิดปกติของเส้นพันธบัตรผลตอบแทนรัฐบาลสหรัฐฯในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งการเกิดความผิดปกติ (Inverted Yield Curve) แต่ปัจจุบันกลับมาเป็นภาวะปกติ (Normal Yield Curve)

แต่สถิติอดีตที่ผ่านมาชี้ว่าการเกิด Recession มักเกิดในช่วงที่จาก Inverted Yield Curve กลับมาเป็น Normal Yield Curve ซึ่งคล้ายคลึงกับสถานการณ์ในปัจจุบัน นอกจากเรื่องของ Yield Curve แล้วหากไปย้อนดูภาษีนำเข้าในอดีตพบว่าช่วงที่ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯปรับเพิ่มสูงขึ้นมักจะนำสหรัฐฯ ไปสู่เศรษฐกิจถดถอย 

เมื่อพิจารณาผลกระทบจากสงครามการค้ารอบปัจจุบันพบว่าเริ่มเห็นการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจทั้งโลกและไทย สำหรับเศรษฐกิจโลก IMF ออกมาปรับลดเหลือขยายตัวเพียง 2.8% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากเดิมที่ 3.3% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน

เหตุผลหลักจากเงินเฟ้อของโลกน่าจะลดลงช้ากว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่วนเศรษฐกิจไทยหลายๆ เริ่มเห็นการปรับลดลงมาเหลือการขยายตัวเพียง 1.5% จากก่อนหน้าที่ 2.5% รับผลกระทบจากการส่งออกและนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเดินทางเข้ามาน้อย และติดลบเมื่อเทียบกับปีก่อน

สำหรับประเทศไทยมีความเสี่ยงกับเรื่องภาษีของสหรัฐฯ และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าหลังผ่านพ้น 90 วัน สหรัฐฯจะดำเนินการภาษีอย่างไรกับประเทศไทย หากดูข้อมูลก็จะพบว่าไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

หากการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับไทยไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน ในช่วงหลังจากนี้อาจเห็นการกลับมาขึ้นภาษีนำเข้าของไทย ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทย ในขณะที่หากจีนลดบทบาทการค้ากับสหรัฐฯ อาจเป็นไปได้ที่จีนต้องมองหาตลาดใหม่ด้วยการลดราคา ไทยอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่รับสินค้าราคาถูกจากจีน

แต่ในขณะเดียวกันสินค้าราคาถูกจากจีนที่ทะลักเข้ามาจะเป็นปัจจัยกดดันธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทย (SME) มีผลต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจไทย เมื่อมาดูปัจจัยที่เคยเป็นความหวังของไทยอย่างการท่องเที่ยว ข้อมูลล่าสุดพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยสะสมตั้งแต่ต้นปี – 20 เม.ย. อยู่ที่ 11.27 ล้านราย (เพิ่มขึ้น 0.5% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน)

นับเป็นการขยายตัวที่ค่อนข้างต่ำและเป็นไปได้ที่เป้าหมายระดับ 38-39 ล้านคน ที่หลายๆ สำนักคาดการณ์กันไว้อาจมิสามารถไปได้ถึง นอกจากนี้มีอีกข้อมูลที่น่าสนใจคือจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยลดลงติดต่อกัน 2 เดือนติดต่อ

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงต่อเนื่อง 2 เดือนติดต่อเช่นกัน สวนทางกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ไปญี่ปุ่นกลับมาขยายตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน อาจสะท้อนถึงความน่าสนใจของไทยที่ลดลงในสายตาประชาชนกรจีน