ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH วันนี้ 24 เม.ย.68 ณ เวลา 13.10 น. อยู่ที่ระดับ 164.00 บาท ลดลง 5.00 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 2.96% ในช่วงระหว่างวันราคาหุ้นแกว่งตัวในกรอบ 168.50-163.50 บาท มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 338.01 ล้านบาท
โดยการปรับตัวลดลงของราคาหุ้น BH ในวันนี้ หลักๆ เป็นผลมาจากการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 ที่ออกมาไม่ได้สวยดั่งที่คาดหวังไว้ โดย BH รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 รายได้รวมอยู่ที่ 6,208 ล้านบาท ลดลง 5.6% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 6,576 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาสแรกปีนี้อยู่ที่ 1,734 ล้านบาท ลดลง 12.6% จาก 1,985 ล้านบาท จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 2,338 ล้านบาท ลดลง 12.6% จาก 2,676 ล้านบาทจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
โดยการลดลงของรายได้หลักๆ เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ 9.7% ที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับผลกระทบจากช่วงเดือนรอมฎอนที่มีจำนวนวันมากกว่าในไตรมาสแรกปี 68 นี้ โดยสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติคิดเป็น 63.9% ของรายได้รวม ขณะที่รายได้ชาวไทยอยู่ที่ 36.7%
บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กำไรลดตามรายได้ สวนทาง SG&A ที่เพิ่มขึ้น โดยกำไรไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 1,734 ล้านบาท (-8% จากไตรมาสก่อน ,-13% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน) รายได้กิจการโรงพยาบาลลดลง 6% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน มาจากรายได้ผู้ป่วยตะวันออกกลางที่ลดลงในเดือนรอมฎอน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มจากปีก่อนมาก หลักๆมาจากค่าใช้จ่ายพนักงาน
รายได้ผู้ป่วยต่างชาติลดลง 9.7% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติอยู่ที่ 63.9%ลดลงจากปีก่อนที่ 66.5% กระทบไปถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง เพราะผู้ป่วยต่างชาติส่วนใหญ่เข้ามารักษาโรคที่มีความซับซ้อน จึงมีอัตรากำไรที่สูงกว่าผู้ป่วยไทย
กำไรไตรมาส 1/68 คิดเป็นสัดส่วน 22% ของประมาณการกำไรทั้งปี แต่ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการเดิมไว้ เชื่อจะเห็นกำไรเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 2/68หลังผ่านเดือนรอมฎอนไปแล้วคาดหวังจะเห็นรายได้ผู้ป่วยตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น หนุนทั้งรายได้และอัตรากำไร
ทั้งนี้ ทางฝ่ายมองการเติบโตของกำไรในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ค่อนข้างจำกัด จากผลกระทบเรื่องภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันด้านราคาในธุรกิจโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้น จุดเปลี่ยนสำคัญต้องรอการกลับมาของผู้ป่วยคูเวต ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้
ประเมิน Fair Value อิง DCF ได้ราคาเหมาะสม 230 บาท แม้มี upside 36% แต่แรงกดดันระยะสั้นจากกำไรไตรมาส 1/68 ที่ลดลง และยังไม่เห็นพัฒนาการชัดเจนมากนักเกี่ยวกับการฟื้นตัวของคนไข้ตะวันออกกลาง จึงให้น้ำหนักการลงทุน Neutral