กูรูชี้ตลาดบอนด์ไทยยังไม่ถึงทางตัน แนะโอกาสลงทุนยังมี

29 เม.ย. 2568 | 00:30 น.

แม้ตลาดตราสารหนี้ยังผันผวนจากความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ แต่บอนด์ไทยยังมีช่องทางลงทุน บล.เอเซีย พลัส แนะ Selective Buy เน้นคุณภาพ-ระยะสั้น

นางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดตราสารหนี้ไทย แม้ผันผวนมากขึ้นแต่ยังพอไปได้ โดยนักลงทุนยังมีความต้องการลงทุนอยู่

เพียงแต่จะ selective buy มากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลาดมีความกังวลจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออก 3 ราย และ การเลื่อนกำหนดชำระของผู้ออก 9 ราย ในช่วงไตรมาสแรกของปี 68 นี้ ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความต้องการซื้อตราสารหนี้ไทยที่มีอันดับเครดิตสูงกว่า Investment grade และ มีอายุไม่เกิน 1-3 ปี

ยกเว้น Perpetual bonds ที่เป็นที่ต้องการของนักลงทุนทั่วไปอยู่แล้วถ้าบริษัทที่ออกเป็นที่รู้จักและให้ผลตอบแทนไม่ต่ำ กว่า 4.00-5.00% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ทั่วไปส่วนใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า 4.00% โดยยอดคง ค้างตราสารหนี้ไทย ณ สิ้นไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 17.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% จากปีที่แล้ว

โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรภาครัฐ สวนทางกับยอดคงค้างของตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว หรือ หุ้นกู้ระยะยาว ที่ปรับลดลง 1.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยลงมาอยู่ที่ 203,486 ล้านบาท

ทั้งนี้ อีกสามไตรมาสที่เหลือของปี 68 นี้ มีมูลค่าตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวครบกำหนด 686,004 ล้านบาท ที่จะครบ ในช่วงไตรมาสสอง 38.17% ช่วงไตรมาสสาม 29.3% และ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ 32.53% ซึ่งจะครบ กำหนดมากสุดในเดือน พฤษภาคม มิถุนายน และ กรกฎาคม

ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังครองอันดับหนึ่งของการมีมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวสูงสุด คือ กลุ่มพลังงาน (ENER) กลุ่มพลังงาน (ENER) กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PROP) กลุ่มพาณิชย์ (COMM) และ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร (ICT)

โดย 5 กลุ่มนี้มียอดคงค้างคิดเป็น 60% ของมูลค่ารวมทั้งตลาด แต่ถ้ามองในมุมของอันดับเครดิตแล้ว หุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิต A มีมูลค่าคงค้างสูงสุด แต่ถ้ามองทุกอันดับเครดิตรวมกันกว่า 93% เป็นหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade (BBB-) ขึ้นไป

นางสาวลัพธ์พร กล่าวว่า คาดตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะมีการเคลื่อนไหวแบบลงจำกัดอย่างเสียไม่ได้ เนื่องจากการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก จากระดับ 2.00% ในปัจจุบัน ลงไปอยู่ที่ 1.50-1.75%

ซึ่งโดยปกติแล้ว ตลาดจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อรองรับการคาดการณ์ล่วงหน้า สังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุไม่เกิน 3 ปี ที่ตอนนี้อยู่ในช่วง 1.55-1.71% โดยล่าสุดตลาดคาดว่าแบงก์ชาติจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในช่วงกลางปีลงไป

โดยเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นไตรมาสแรก มีการปรับตัวลงตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์หลัง กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเร็วกว่าตลาดคาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนภาครัฐ อายุ 2-10 ปี ปรับลง 31-35 bps มาอยู่ที่ 1.69%, 1.74% และ 1.99% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้

"กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำสำหรับการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ภายใต้สภาวะตลาดที่ผันผวน เนื่องจาก ปัจจัยเสี่ยงมากมายทั้งภายในและภายนอก เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หนี้เสีย ภาวะเศรษฐกิจที่โตต่ำ และ สงครามการค้าทั่วโลก จึงกดดัน yield ระยะสั้นให้โงหัวไม่ขึ้นตามการคาดการณ์การปรับตัวลงของดอกเบี้ยนโยบาย"

อย่างไรก็ตาม ตลาดพร้อมดีดตัวกลับอย่างเร็วและแรงเมื่อเห็นสัญญาณ bottom out ของภาวะดอกเบี้ย จึงแนะนำให้ selective buy ตามวัตถุประสงค์การลงทุน ถ้าวัตถุประสงค์เพื่อ trading แนะให้ซื้อตราสาร หนี้ภาครัฐ โดยความเสี่ยงจากการขาดทุนจะมากขึ้นตามอายุตราสาร ดังนั้น จึงแนะนำให้ trade พันธบัตรที่อายุ ไม่เกิน 5 ปี

แต่ถ้าวัตถุประสงค์ Buy and Hold แนะให้ซื้อ Perpetual bonds หรือ หุ้นกู้ที่อันดับเครดิตสูง ใน อุตสาหกรรมที่เกี่ยวพันกับปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต อย่างเช่น อาหารและเครื่องดื่ม (Food), การแพทย์ (Health), ธุรกิจการเกษตร (Agri) เป็นต้น