นางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า หากเปรียบเทียบความน่าสนใจในการลงทุนระหว่างตลาดหุ้นไทย และตลาดตราสารหนี้แล้ว คงไม่ใช่ในเรื่องของผลตอบแทน แต่มองว่าตลาดตราสารหนี้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยมากกว่า
โดยในช่วงเดือนม.ค.68 ที่ผ่านมา เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ของพันธบัตรรัฐบาลไทยโดดขึ้นมามาก เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไม่ลดดอกเบี้ย แต่พอมาในช่วงเดือน ก.พ.- มี.ค.68 หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ออกแอคชั่นเรื่องสงครามการค้า
รวมถึงเรื่องเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย ส่งผลให้ Yield Curve หักหัวลงแบบโรลเลอร์โคสเตอร์ ซึ่งลดลงกว่า -10 เบสิสพอยท์ (BPS) นอกจากนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าการประชุมกนง. ในวันที่ 30 เม.ย.68 นี้ มีโอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเหลือ 1.75%
หลักๆ เผ็นผลจากสงครามการค้าที่ยังคงกดดันเศรษฐกิจทั่วโลก และทำให้ GDP ไทยปี 68 พลาดเป้าจากเดิมที่คาดการณ์กันไว้ราว 2.6-3% โดยล่าสุดถูกปรับลดลงมากว่า 1% เหลือที่ระดับ 2% ตอนต้น ส่งผลให้การประมูลพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 3-6 เดือน ออกมาอยู่ที่ราว 1.59-1.63% หรือเฉลี่ย 1.62%
ทั้งนี้ มองว่าการลดดอกเบี้ยของ กนง. ในรอบนี้ เป็นผลดีต่อผู้ออกหุ้นกู้ เพราะจะทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ดังนั้น ผู้ออกหุ้นกู้ย่อมรู้สึกดีมากกว่าแน่นอน แม้ว่าที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้จะได้รับผลกระทบจากข่าวเชิงลบทั้งเรื่องการของเลื่อนกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ เบี้ยวหนี้ต่างๆ มากดดัน
แต่มองว่าหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ระดับ Investment Grade เป็นหุ้นกู้กลุ่มที่มีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับน่าลงทุน ตั้งแต่ BBB+ เป็นต้นไป ยังเป็นที่สนใจ และนักลงทุนยังมีความต้องการอยู่มาก แม้ว่าผลตอบแทนจะไม่สูง การจ่ายดอกเบี้ยจะต่ำ แต่ก็ยังได้รับความนิยม โดยเฉพาะในระยะกลางและยาว
ส่วนการเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ แล้วกระแสเงินทุนจะไหลเข้ามาตลาดตราสารหนี้ไทยหรือไม่นั้น มองว่ามีแต่ไม่มาก โดยมูลค่าคงค้าง (Outstanding) ของทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทยนั้น มีมูลค่ารวมในช่วงต้นเดือนเม.ย.68 ที่ประมาณ 8.7 แสนล้านบาท
ซึ่งคิดเป็นเพียงสัดส่วน 5% ของ Outstanding ทั้งหมดของตลาดตราสารหนี้ไทยที่กว่า 17.5 ล้านล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต ดังนั้น แม้ว่าต่างชาติจะขายออกบอนด์ยีลด์ไทยไปก็มองว่าแทบไม่มีผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้เลย
สำหรับหุ้นกู้กลุ่มอสังหาริมทรัยพ์ มองว่าก็อาจต้องเลือกการลงทุน อย่างหุ้นกู้กลุ่มอสังหาฯ ที่มีเรตติ้ง BBB+ เป็นต้นไปอย่าง SIRI SC AP และ LH ดูมีความน่าสนใจยังค่อนข้างแข็งแกร่งทั้งในแง่ผลการดำเนินงาน และการให้อัตราผลตอบแทน แม้มีเรื่องแผ่นดินไหวเข้ามากระทบก็ยังคงรักษาฐานที่มั่นของตัวเองไว้ได้
ในขณะที่ตัวอื่นๆ ที่มีการออกหุ้นกู้ก่อนหน้านี้ไปจำนวนมาก และใกล้ถึงครบกำหนดไถ่ถอน อย่าง ORI และ ANAN ส่วนตัวก็เอาใจช่วยให้การออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนรุ่นเดิม (Rollover Risk) เป็นไปด้วยดี เพราะจริงๆ ผลการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่งอยู่ เพียงแต่ด้วยสภาวะทางเศรษฐกิจ กำลังซื้อต่างๆ ก็อาจทำให้ได้รับแรงกดดันไป