นางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) ดีดตัวขึ้นแรง หลังเผชิญแรงขายจากเจ้าหนี้รายใหญ่อย่างประเทศญี่ปุ่นและจีน โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก
โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เผยข้อมูลการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ว่า ในเดือนก.พ. 68 มีนักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ จำนวน 8.8 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.9 แสนล้านดอลลาร์ จากเดือนม.ค. 68 ที่ผ่านมา ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นรายเดือนที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 64
และพบว่าประเทศญี่ปุ่นและจีนเป็นประเทศที่ถือครอง Bond Yield สหรัฐฯ มากที่สุด 2 อันดับแรก โดยที่ญี่ปุ่นมีการซื้อเพิ่มไป 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้ยอดถือครองรวมอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ด้านจีนก็มียอดถือครองเพิ่มขึ้น 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมเป็น 7.8 แสนล้านดอลลาร์
การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง หลายประเทศถือไว้ในฐานะสินทรัพย์สำรอง อีกทั้งบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ยังเป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจโลกที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนกับประชาชน ธนาคารพาณิชย์ กองทุนรวม และธนาคารกลางของประเทศต่างๆ
ในปี 68 บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หมุนเวียนในระบบการเงินโลกมากกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ ถือครองโดยรัฐบาลและนักลงทุนต่างประเทศ จำนวน 8.8 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า “การลดการพึ่งพาดอลลาร์” (de-dollarization) ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตา
เพราะจะเห็นว่าต่างชาติยังมีความต้องการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ อยู่สูงมาก ทั้งนี้ หลังจากนี้อาจต้องติดตามข้อมูลของช่วงเดือนเม.ย.68 ที่จะเผยแพร่ออกมาประมาณเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ เพราะอีกด้านพันธบัตรสหรัฐฯ อาจกลายเป็นอาวุธตอบโต้ของคู่ค้าต่างชาติ โดยเฉพาะจีนกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ถือครองหนี้รายใหญ่ และมีโอกาสใช้สินทรัพย์นี้เป็นเครื่องมือต่อรอง
"อีกด้านพันธบัตรสหรัฐฯ อาจกลายเป็นอาวุธตอบโต้ของคู่ค้าต่างชาติ โดยเฉพาะจีนกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ถือครองหนี้รายใหญ่ และมีโอกาสใช้สินทรัพย์นี้เป็นเครื่องมือต่อรอง แม้ที่ผ่านว่ารัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ จะยืนยันว่าไม่พบสัญญาณการเทขายพันธบัตรในระดับที่น่ากังวลจากประเทศเหล่านี้ก็ตาม"
มองว่าสงครามการเงินนั้นครั้งนี้ ดึงเอา Bond Yield ฝั่งสหรัฐฯ มาเป็นเครื่องมือในการโต้ตอบสหรัฐฯ ต่อการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่เพิ่มสูง ตามธรรมชาติของนักลงทุนแล้วการเทขายออกส่วนใหญ่เพื่อเป็นการพักเงินในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน
ส่วนมากแล้วนักลงทุนจะไม่เก็บเงินสดไว้ในมือเป็นระยะเวลานั้น ดังนั้นจะห็นการโยกเงินจาก Bond Yield ระยะยาวมาลงใน Bond Yield ที่มีอายุสั้น 3-6 เดือนแทน เมื่อถึงกำหนดก็ขายออกซึ่งก็อาจเป็นช่วงที่สถานการณ์ต่างๆ ลดความตึงเครียดลงแล้ว
แม้ว่าจะเห็นการ Bond Yield ออกมาจำนวนมาก แต่เชื่อว่า Bond Yield ยังคงเป็นที่หลบภัย (Safe Haven) สำหรับนักลงทุน เชื่อว่าดีมานด์สินทรัพย์ถาวร (Fix asset) ยังคงมีอยู่มากกว่า หากว่าประเทศไม่ได้ล้มละลาย หน้าที่และความรับผิดชอบในการจ่ายดอกเบี้ยให้กับนักลงทุนต่อไป
"ช่วงที่บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ถูกเทขายออกมาแรงๆ เมื่อช่วงต้นเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา หลักๆ เป็นผลจากความกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจถดถอย นโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ รวมถึงโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในปี 68 นี้เร็วขึ้น อย่างไรก็ดี มองว่าการที่ทั้งญี่ปุ่นและจีนเทขายบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ออกมาเป็นเพียงการข่มขู่เท่านั้น และนี่ยังไม่ใช่ไม่เด็ด หากว่าทรัมป์ยังเดินหน้าขึ้นภาษีแบบไม่สนถึงความสัมพันธ์อันดีกับพันธมิตร"