SET เผยกำไรสุทธิ บจ. ปี 67 แตะ 8.6 แสนล้าน หดตัว 3.7% ขณะ mai โต 5.5%

13 มี.ค. 2568 | 04:38 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มี.ค. 2568 | 04:39 น.

บริษัทจดทะเบียน รายงานผลกงานปี 67 ยอดขาย 17.5 ล้านล้าน เพิ่ม 3.1% ขณะกำไรสุทธิ 8.6 แสนล้าน หดตัว 3.7%รับแรงกดดันธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 807 บริษัท นำส่งผลการดำเนินงานปี 2567 คิดเป็น 98.9% จากทั้งหมด 816 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 31 ธันวาคม 2567 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 604 บริษัท คิดเป็น 74.8% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานปี 2567 เทียบกับปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 17,524,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารเพิ่มขึ้นสูงกว่าเล็กน้อย ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,559,270 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 859,401 ล้านบาท ลดลง 1.1% และ 3.7% ตามลำดับ

ผลประกอบการ บจ. ปี 67

หากพิจารณาในกลุ่มธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์) บจ. จะมียอดขาย กำไรจากการดำเนินงานหลัก และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.49 เท่า ลดลงจาก 1.52 เท่า

“การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกให้ บจ. ไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว การอุปโภคบริโภค และการบริการ มีผลประกอบการดีขึ้น เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ค้าปลีก โรงแรม การบิน โรงพยาบาล โทรคมนาคม และพื้นที่เช่าการค้า"

นอกจากนี้ พบการเติบโตในกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจากอุปสงค์ในพื้นที่ EEC ที่เพิ่มขึ้นมาก สอดคล้องกับกระแสการย้ายฐานการผลิต (relocation) และจำนวนคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และธุรกิจการเงินซึ่งได้รับผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูง

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลงในปี 2567 กดดันความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีภัณฑ์ และภาพรวมของ บจ. ทั้งหมด

ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) งวดปี 2567 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงเติบโต โดย บจ. มียอดขายรวม 209,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% ขณะที่ บจ. ควบคุมต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 14,995 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.9% และ 5.5% ตามลำดับ 

บจ. mai ทำกำไรโต 5.5%

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 215 บริษัท คิดเป็น 97% จากทั้งหมด 222 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยปี 2567 มี บจ. ที่รายงานกำไรสุทธิจำนวน 152 บริษัท คิดเป็น 71% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ของ บจ. mai เปรียบเทียบกับปีก่อน มียอดขายรวม 209,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% ต้นทุนขาย 155,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มขึ้นจาก 25.1% มาอยู่ที่ 25.7% อย่างไรก็ดี การที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มเพียง 0.1% ส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงาน 14,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.9% และมีกำไรสุทธิรวม 5,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% 

ผลการดำเนินงาน บจ. mai ปี 67

“ผลการดำเนินงาน บจ. ใน mai งวดปี 2567 พบว่า บจ. มีกำไรสุทธิเติบโตเพียง 5.5% ทั้งที่ผลการดำเนินงาน 9 เดือนปี 2567 ทำผลประกอบการสะสมมาได้ดี แต่เนื่องจากไตรมาส 4 มีรายการอื่นๆ เช่น การตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น การตั้งด้อยค่าเงินลงทุนหรือสินทรัพย์ ทั้งนี้หากไม่รวมรายการอื่นๆ ดังกล่าว กำไรสุทธิจะเติบโต 71.8% พบ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตทั้งยอดขาย และกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยี”

ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai)

ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 328,946 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% จากสิ้นปี 2566 โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.79 เท่า เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 ที่เท่ากับ 0.77 เท่า

ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 222 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 12 มีนาคม 2568) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 246.45 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 239,893.40 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 672.37 ล้านบาทต่อวัน