โบรกมอง SET Index หลุด 1,200 จุด โอกาสทองซื้อของถูก ชี้มีโอกาสไหลลง 1,150 จุด

05 มี.ค. 2568 | 00:30 น.

ตลาดหุ้นไทยเปิดต้นเดือนมี.ค. 68 ผันผวนหนัก ดัชนีร่วงกว่า 29.63 จุด หรือ -2.45% ใน 2 วันทำการแรก หลุดแนวรับสำคัญ 1,180 จุดเป็นที่เรียบร้อย โบรกชี้ยังขาดปัจจัยใหม่หนุนเสี่ยงตลาดหุ้นไทยไหลต่อถึง 1,150 จุด เป็นจุดตั้งหลัก มองการลงทุนยังน่าสนใจเก็บหุ้นช่วงราคาถูก

เปิดต้นเดือนมีนาคม 2568 มาวันทำการแรก ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ร่วงลงแบบไร้แรงต้านทานกว่า 15.31 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 1.27% หลุดเส้น 1,200 จุด ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,188.41 จุด จากเปิดตลาดที่ระดับ 1,207.27 จุด ต่อมาวันที่ 4 มี.ค. ตลาดทุนไทยที่ยังคงไร้ปัจจัยใหม่เข้าหนุน ส่งผลให้ไหลลงต่อเนื่องอีก 10.77 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.91% มาอยู่ที่ระดับ 1,177.64 จุด หลุดแนวรับสำคัญ 1,180 จุดเป็นที่เรียบร้อย

หากนับ 2 วันทำการแรกเดือนมี.ค. 68 ดัชนีตลาดหุ้นไทยไหลรูดลงไปแล้วรวม 29.63 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -2.45% ดูเหมือนว่าด้วยความเชื่อมั่นที่ถดถอยลงทำให้ตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ไม่อาจยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งเล้าทั้งภายในและภายนอกประเทศได้เลย

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มองว่าตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ยังไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาช่วยสนับสนุน แม้ว่ากระทรวงการคลังจะมีการกองทุน LTF เป็นกองทุน TESGX เพื่อชะลอแรงขายจากนักลงทุนสถาบัน รักษาเงินทุนในตลาดหุ้นไทยไว้

"ดูเหมือนว่านี่อาจเป็นยาบรรเทาที่ไม่แรงมากพอจะดึงเม็ดเงินใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมได้ ทำให้มองว่ามีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะดิ่งลงอย่างต่อเนื่องก็ยังมีอยู่ จนทำให้การคาดการณ์แนวรับที่แน่นอนเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก อย่างไรก็ดี มองว่าตลาดหุ้นไทยจะตั้งหลักได้ในระดับแนวรับ 1,150 จุด ระดับ P/E ที่ 12 เท่า ซึ่งหากย้อนกลับค่าเฉลี่ยในอดีต 10 ปีก่อน ที่มี Forward P/E ประมาณ 13-15 เท่า นับว่าต่ำกว่ามาก สะท้อนว่าหุ้นไทยขณะนี้ไม่แพงแล้ว"

ทั้งนี้ ความเสี่ยงทางลงวัดจากปริมาณเงิน M2 อยู่ที่ 1,120-1,141 จุด Market cap ของ SET Index มี correlation กับปริมาณเงิน M2 โดยตั้งแต่ 2547 ขนาดของตลาดหุ้นไทยจะคิดเป็น 0.53-0.80 ของปริมาณเงิน M2 และเคยขึ้นไปถึง 0.90-0.95 ในช่วงที่สหรัฐฯ มีการใช้ QE มองการปรับลงมาของ SET ในรอบนี้ เข้าสู่ช่วงที่ valuation เทียบปริมาณเงินที่มักเป็นจุดที่ตลาด bottom ในอดีตที่ 0.53-0.54 เท่า (เกิดขึ้น 4 ครั้ง) หรือคิดเป็น SET ที่ 1,120-1,141 จุด

ดังนั้น แม้อาจมีความเสี่ยงในระยะสั้น แต่มองการปรับลดลงในระดับตั้งแต่ 1,200 จุดลงมาเป็น Low risk entry level และมองว่า Downside ถึงระดับ 1,150 จุด ในเชิงของ Valuation จะกลับมามีความมั่นคงมากขึ้น ทั้งราคาต่อกำไร และปริมาณต่อการซื้อขายในระบบ อย่างไรก็ดี หากว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนโอกาสได้เห็นดัชนีไหลลงไปถึง 1,150 จุด อาจได้เห็นในระยะสั้นนี้แน่

แต่อย่างไรก็ตาม หากลงลึกมาดูที่หุ้นรายตัวโดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและหุ้นขนาดเล็กมีโอกาสที่ราคาฟื้นตัวค่อนข้างมาก เนื่องจากที่ผ่านมาปรับตัวลดลงถึงจุดต่ำสุดไปกันมากแล้ว ทำให้เป็นกลุ่มที่มีความน่าสนใจในการลงทุน โดยเฉพาะหุ้นที่มี P/E ไม่แพง ให้ปันผลที่ดี อีกทั้งมองว่าด้วยดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุดระดับ 1,200 จุด ทำให้การลงทุนมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะราคาอยู่ในระดับที่ไม่แพง

สำหรับกลุ่มหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนระยะนี้ ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น 5 กลุ่มประกอบด้วย หุ้นกลุ่มแบงก์ SCB, หุ้นไฟแนนซ์ MTC, หุ้นอาหาร TFG BTG, หุ้นค้าปลีก CPALL OSP และหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ได้แก่ SAMART SORKON และMEB เป็นต้น