กูรูชู ThaiESG X ตัวจำกัด Downside ตลาดหุ้นไทย แต่ไม่เกี่ยวกับ Upside

03 มี.ค. 2568 | 04:04 น.
อัปเดตล่าสุด :03 มี.ค. 2568 | 04:04 น.

บล.พาย มองบวกรัฐบาลประกาศเตรียมนำ LTF เดิมมาเป็นกองทุน THaiESG X วางข้อกำหนดต้องถือหน่วยลงทุนต่อไปอีก 5 ปี เพื่อชะลอแรงขายที่จะกระทบกับตลาดหุ้นไทย ตัวจำกัด Downside ชี้สัปดาห์นี้มีลุ้นเห็น SET Index ฟื้นตัว

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับตัวลง 12 จุด (-1%) รับแรงกดดันจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับแคนาดา และเม็กซิโก หลังทรัมป์ยืนยันว่าจะยังคงปรับขึ้นภาษีเช่นเดิม อย่างไรก็ดีสัปดาห์นี้มีลุ้นที่จะเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ จากช่วงวันหยุดที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้ประกาศเตรียมจัดตั้งกองทุน THaiESG X โดยนำ LTF เดิมมาเป็นกองทุน THaiESG X โดยให้ผู้ถือหน่วยลงทุนแจ้งสิทธิ์กับบริษัทจดการกองทุนรวมว่าประสงค์จะถือต่อ แต่ข้อกำหนดก็คือว่าจะต้องถือหน่วยลงทุนต่อไปอีก 5 ปี ทั้งนี้ก็เพื่อชะลอแรงขายที่จะกระทบกับตลาดหุ้นไทย โดยผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถเอายอดที่ถืออยู่ทั้งหมดมาลดหย่อนภาษีได้

ในความเห็นมองว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นตัวจำกัด Downside Risk แต่อาจมิใช่ตัวเพิ่ม Upside แต่อย่างใดเพราะเงินไม่ได้ถูกเติมเข้ามา อิงข้อมูลจากกองทุน LTF ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (B-LTF) พบว่าหุ้นที่ถือ Top 5 ประกอบไปด้วย CPALL ADVANC GULF AOT และ PTT เป็นต้น

หลักๆ ก็เชื่อว่าเม็ดเงินจะอยู่ในหุ้น SET50 เมื่อประกอบกับปัจจัยพื้นฐานจึงพิจารณาแล้วว่า CPALL จะเป็นตัวที่น่าสนใจเพราะผลประกอบการไตรมาสสี่ที่โดดเด่นและประกาศชัดเจนว่าไม่ต้องการลงทุนใน 7&I ในประเทศญุี่ปุ่นแล้ว

สัปดาห์นี้รอติดตาม

  1. ดัชนี PMI ภาคผลิตของสหรัฐฯจากสถาบัน ISM โดยที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 50.6
  2. การจ้างงานภาคเอกชนจากสถาบัน ADP ในวันพุธ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.4 แสนราย
  3. การจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์ Bloomberg Consensus คาดที่ 1.56 แสนราย สัปดาห์นี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1,190 – 1,240 เชิงกลยุทธ์การลงทุนเน้นเลือกหุ้นมากขึ้น

โดยแนะนำหุ้น PE ไม่สูงและเป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ ค้าปลีก BJC CRC CPALL HMPRO, ศูนย์การค้า CPN, ธนาคารพาณิชย์ BBL KBANK KTB SCB, ท่องเที่ยว CENTEL MINT, การเงิน MTC SAWAD และโรงพยาบาล BDMS เป็นต้น

หุ้นเด่นแนะนำ

BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
ประกาศกำไรสุทธิที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 11% เมื่อเทียบปีก่อน ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด จากปัจจัย

  1. ความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้น หนุนรายได้ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยที่สูงขึ้น (+7% เมื่อเทียบปีก่อน) โดยเฉพาะในผู้ป่วยต่างชาติ เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบปีก่อน
  2. จำนวนผู้ป่วยที่เติบโต ประกอบกับสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่สูงขึ้นอยู่ที่ 28% (+1 ppts เมื่อเทียบปีก่อน)
  3. สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากมาตราการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อนปรับปรุงประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)

  • รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ที่ 7.2 พันล้านบาท เติบโต 31% เมื่อเทียบปีก่อน หลังตัดรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 6.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบปีก่อน และเติบโต 24% จากไตรมาสก่อน ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยและตลาดคาด 
  • หนุนจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของ (7-Eleven) ที่ +4.0% เมื่อเทียบปีก่อน จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี
  • รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT ขณะที่คาดว่าแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/68 จะเติบโต เมื่อเทียบปีก่อน ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks รวมถึงสินค้าใหม่ๆจาก SME