นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับตัวลง 12 จุด (-1%) รับแรงกดดันจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับแคนาดา และเม็กซิโก หลังทรัมป์ยืนยันว่าจะยังคงปรับขึ้นภาษีเช่นเดิม อย่างไรก็ดีสัปดาห์นี้มีลุ้นที่จะเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ จากช่วงวันหยุดที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้ประกาศเตรียมจัดตั้งกองทุน THaiESG X โดยนำ LTF เดิมมาเป็นกองทุน THaiESG X โดยให้ผู้ถือหน่วยลงทุนแจ้งสิทธิ์กับบริษัทจดการกองทุนรวมว่าประสงค์จะถือต่อ แต่ข้อกำหนดก็คือว่าจะต้องถือหน่วยลงทุนต่อไปอีก 5 ปี ทั้งนี้ก็เพื่อชะลอแรงขายที่จะกระทบกับตลาดหุ้นไทย โดยผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถเอายอดที่ถืออยู่ทั้งหมดมาลดหย่อนภาษีได้
ในความเห็นมองว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นตัวจำกัด Downside Risk แต่อาจมิใช่ตัวเพิ่ม Upside แต่อย่างใดเพราะเงินไม่ได้ถูกเติมเข้ามา อิงข้อมูลจากกองทุน LTF ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (B-LTF) พบว่าหุ้นที่ถือ Top 5 ประกอบไปด้วย CPALL ADVANC GULF AOT และ PTT เป็นต้น
หลักๆ ก็เชื่อว่าเม็ดเงินจะอยู่ในหุ้น SET50 เมื่อประกอบกับปัจจัยพื้นฐานจึงพิจารณาแล้วว่า CPALL จะเป็นตัวที่น่าสนใจเพราะผลประกอบการไตรมาสสี่ที่โดดเด่นและประกาศชัดเจนว่าไม่ต้องการลงทุนใน 7&I ในประเทศญุี่ปุ่นแล้ว
โดยแนะนำหุ้น PE ไม่สูงและเป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ ค้าปลีก BJC CRC CPALL HMPRO, ศูนย์การค้า CPN, ธนาคารพาณิชย์ BBL KBANK KTB SCB, ท่องเที่ยว CENTEL MINT, การเงิน MTC SAWAD และโรงพยาบาล BDMS เป็นต้น
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
ประกาศกำไรสุทธิที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 11% เมื่อเทียบปีก่อน ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด จากปัจจัย
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)