นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี เปิดเผยว่า ทางฝ่ายมีมุมมองในเชิงบวกต่อผลการประชุม OPEC+ ที่เลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบออกไปเริ่มเป็น เม.ย. 68 (เดิมเริ่ม ม.ค. 68) และยังเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นกับสภาวะ demand รวมถึงลดอัตราการเพิ่มกำลังผลิตเฉลี่ย/เดือน ราว -33% (ทยอยเพิ่มจนครบ 2.46 mbd ภายใน 18 เดือน Vs. เดิม 12 เดือน)
สะท้อนว่า OPEC+ ไม่ได้ต้องการทำสงครามราคาน้ำมัน, ยังมีความร่วมมือกันดีในกลุ่ม และลดความกังวลของตลาดในประเด็นของ oversupply โดยทางฝ่ายมองกลุ่มโรงกลั่นจะได้ปัจจัยบวกจากความกังวล stock loss ที่ลดลง ส่งผลให้ SPRC โดดเด่น
ในด้าน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เปิดมุมมองต่อประเด็นที่ประเทศสมาชิก OPEC+ บางประเทศตกลงขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจนถึงปี 69 ว่า ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีของผู้ผลิตน่ามันรายใหญ่ทั้งในและนอกกลุ่มโอเปค (OPEC and non-OPEC Ministerial Meeting: ONOMM) ครั้งที่ 38 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.67
โดยมีข้อตกลงที่จะขยายการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ (voluntary production cuts) ของ 8 ประเทศสมาชิก รวมถึง ซาอุดิอาระเบีย, รัสเซีย, อิรัก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), คูเวต, คาซัคสถาน, อัลจีเรียและโอมาน ออกไปจนถึงปี 69 โดยแบ่งออกเป็น
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงมีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ โดยมองว่าการขยายเวลาการทยอยถอน voluntary production cuts ออกไปจะทำให้ผลกระทบจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อตลาดน้ำมันโลกจำกัดมากขึ้น อย่างไรก็ดี เชื่อว่าตลาดน้ำมันโลกยังมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นตลาด (oversupply) ในปี 68 จากภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวช้ากว่าอุปทานใหม่ที่เข้ามา โดยเฉพาะจากกลุ่ม non-OPEC+
และฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลงจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ในปี 68 โดยปัจจุบันสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยของฝ่ายวิจัยอยู่ที่ 80.0 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปี 67 และ 73.0 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปี 68 ทั้งนี้ เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะซื้อขายในกรอบ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ถึง 75 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี 67 นี้ ฝ่ายวิจัยยังคงน้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด สำหรับกลุ่มพลังงาน และชอบหุ้นโรงกลั่นที่น่าจะเห็นการฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน ของผลประกอบการในไตรมาส 4/67 โดยชอบหุ้น SPRC แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท, TOP แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 55.00 บาท และ BCP แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 40.00 บาท
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าผลประกอบการของกลุ่มโรงกลั่นน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วในไตรมาส 3/67 และจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ในไตรมาส 4/67 หนุนโดย