CIMBT โชว์กำไร 9 เดือน พุ่ง 8.9% แตะ 1.9 พันล้าน หลังตั้งสำรองลด 5.7%

21 ต.ค. 2567 | 06:55 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ต.ค. 2567 | 06:55 น.

CIMBT ประกาศผลงาน 9 เดือนแรกปี 67 กำไรสุทธิพุ่ง 1.9 พันล้าน โต 8.9% จากปีก่อน หลังรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นที่ 1.07 หมื่นล้าน ขยายตัว 4.5% และตั้งสำรองที่ลดลง 5.7% พร้อมทั้งกด NPLs ลดลงสู่ 2.5%

นายพอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.67 ของกลุ่มธนาคาร มีกำไรสุทธิจำนวน 1,890.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 153.9 ล้านบาท หรือ 8.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน

สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 4.5% และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 5.7% สุทธิกับการเพิ่มขึ้นในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 6.5%

รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวด 9 เดือนปี 67 มีจำนวน 10,785.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 463.5 ล้าน บาท หรือ 4.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 63.4 ล้านบาท หรือ 6.8% ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากให้บริการชำระค่าสินค้าและบริการชำระเงิน และค่าธรรมเนียมการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน รายได้อื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 506.7 ล้านบาท หรือ 24.9%

ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนสุทธิกับการ ลดลงของกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพและกำไรสุทธิจากเงินลงทุน สุทธิกับการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 106.7 ล้านบาท หรือ 1.5% เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเติบโตสูงกว่าการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ย

ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดเก้าเดือนปี 2567 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2566 เพิ่มขึ้นจำนวน 407.1 ล้านบาท หรือ 6.5% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเผื่อการด้อยค่าของทรัพย์สินรอการขาย สุทธิกับการลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต่อรายได้จากการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 61.7% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 60.6%

อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับงวด 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 2.3% ลดลงจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 2.6% เป็นผลจากต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้น

ณ วันที่ 30 ก.ย. 67 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่น และเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 251.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับเงินให้ สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 66 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบาง ประเภท) จำนวน 283.7 พันล้านบาท ลดลง 8.6% จากสิ้นปี 66 ซึ่งมีจำนวน 310.4 พันล้านบาท

อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 88.7 จาก 78.9% ณ วันที่ 31 ธ.ค. 66

สำหรับสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ 2.5% ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 66 อยู่ที่ 3.3% สาเหตุเกิดจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพใน ระหว่างงวด 67 การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์และกระบวนการในการเก็บหนี้

อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 ก.ย.67 อยู่ที่ 138.8% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 66 อยู่ที่ 124.2% ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 8.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท

เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 30 ก.ย.67 มีจำนวน 57.2 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วน เงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 19.5% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 15.8%