CFARM ชูผลงานครึ่งหลังปี 67 เด่น เห็นกำไร 8 หลัก จ่อลงทุนปศุสัตว์ทางเลือกใหม่

18 ส.ค. 2567 | 23:00 น.

"มธุชา จึงธนสมบูรณ์" มองภาพผลงาน CFARM ครึ่งหลังปี 67 โดดเด่น เร่งเจรจาคู่สัญญาเพิ่มโควต้าเลี้ยงไก่ มั่นใจกำไรปีนี้ยืนเหนือ 8 หลัก พร้อมลุยศึกษาขยายธุรกิจปศุสัตว์ทางเลือกใหม่ (ไม่มีปีก) คาดไม่เกินปลายปี 67 เคาะข้อสรุป

นางสาวมธุชา จึงธนสมบูรณ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานการจัดการ บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) หรือ CFARM เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 จะปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ปัจจัยหลักๆ เป็นผลมาจากการส่งมอบไก่ให้กับคู่สัญญาหลัก ทั้งเบทาโกร, ซันฟู้ด และแหลมทอง ยังเป็นไปตามมาตรฐาน และมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนการเลี้ยง ต้นทุน และค่าใช้จ่ายทุกภาค สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น 

โดยในไตรมาส 3/2567 บริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้ แม้มีฐานการผลิตเท่าเดิม เนื่องจากมีอัตราการเลี้ยงรอดที่ดีกว่าเกณฑ์ 96% และน้ำหนักดีกว่าที่ 2.8-3 กิโลกรัม (ตลาดเฉลี่ย 2.7-2.8 กก.) บวกกับไก่ผิดมาตราน้อยทำให้ไม่มีค่าปรับ และอัตราการกินของไก่น้อยลงสวนทางน้ำหนักตัวไก่ ทำให้ต้นทุนอาหารดีขึ้นด้วย และราคาขายที่สูงกว่าครึ่งปีแรก 

ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาหาโอกาส และพิจารณาการลงทุนในธุรกิจใหม่ หรือธุรกิจปศุสัตว์ทางเลือกใหม่ (ไม่ใช่สัตว์ปีก) เบื้องต้นกำลังเจรจากับพันธมิตรระดับต้นของประเทศไทย ทั้งในเรื่องรายละเอียด และข้อสรุปต่างๆ คาดว่าจะประกาศได้ภายในไตรมาส 4/2567  

"ในช่วงไตรมาส 4/2567 มองว่ายังคงดำเนินธุรกิจได้ดีตามแผนตามที่กล่าวข้างต้น  ดังนั้นว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 จะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากผลการดำเนินงานโดยรวมดีขึ้น และปกติแล้วรอบการเลี้ยงมากกว่า 5 รอบปีต่อ หรือ 40-45 วันขาย แต่ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ทำให้จะเห็นได้ว่ามาร์จิ้นในปีนี้ปรับตัวดีขึ้นเป็นตัวเลขกว่า 8 หลัก/ปี แน่นอน" 

ในส่วนเป้าหมายทั้งปี 2567 บริษัทยังคงเป้าหมายมีรายได้รวมที่ใกล้เคียง หรืออาจเติบโตได้มากกว่าปี 2566 ที่มีรายได้รวม 240.99 ล้านบาท เป็นไปตามการบริโภคมากขึ้น และภาคส่งออกไก่ของไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันกำลังขยับขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก แม้ว่ากฎหมายจะมีข้อบังคับในการพักโรงเลี้ยงไก่นานขึ้นเป็น 24 วัน ทำให้รอบการเลี้ยงไก่ลดลงกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อน

แต่คาดว่าความสามารถในการทำกำไรในปี 2567 จะยืนสูงในระดับ 8 หลัก เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 30.49 ล้านบาท เนื่องจากบริหารต้นทุนโดยรวมได้ดี อัตราการการใช้อาหารปรับตัวลดลงในขณะที่น้ำหนักไก่สูงกว่าเกณฑ์ที่ทางคู่สัญญาวางไว้ ด้วยส่วนต่างจุดนี้ส่งผลบวกต่อมาร์จิ้นที่ดีขึ้นของบริษัท

ประกอบกับจากการที่รัฐบาลมีการทำข้อตกลงการค้ากับประเทศมุสลิมนั้น ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการเนื้อไก่ที่สูง ทำให้อนาคตบริษัทยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจของบริษัทเองนั้นมีความเสี่ยงที่ต่ำ เพราะบริษัทเป็นผู้เลี้ยงไก่เท่านั้น ส่วนเรื่องการจัดหาลูกไก่ อาหารและเวชภัณฑ์ทางคู่สัญญาเป็นผู้จัดหาให้

สำหรับความคืบหน้าของการขยายฟาร์มไก่ หรือโรงเลี้ยงไก่ ยังอยู่ระหว่างการเจรจารับโควต้าจากคู่สัญญา ทั้งรายเดิมและรายใหม่ เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถสรุปและเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในช่วงไตรมาส 1/2568 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นเกือบ 2 ล้านตัว หรือเป็น 17 ล้านตัวต่อปี

โดยปัจจุบันมีอยู่จำนวน 8 ฟาร์ม 121 โรงเรือน แต่ละฟาร์มจะเลี้ยงไก่เฉลี่ยได้จำนวน 4 แสนตัวต่อฟาร์ม และมีแผนจะขยายสร้างฟาร์มเลี้ยงไก่เพิ่มอีก 2 ฟาร์ม ซึ่งบริษัทมีที่ดินอยู่แล้วที่จังหวัดบุรีรัมย์ ใช้เงินลงทุนเฉลี่ยประมาณฟาร์มละ 10 ล้านบาท 

สำหรับผลประกอบการภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 รายได้จากการเลี้ยงไก่เนื้อตามพันธะมีรายได้จากการขาย 104.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.30 ล้านบาท หรือ 9.79% จากอัตราเลี้ยงรอดเพิ่มขั้น 2.40% หรือ 96.00% เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 93.60%ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.17 ล้านบาท