รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ประชุมร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย ผู้ประกอบการธุรกิจหลักทรัพย์ และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจจากสถานการณ์ปัจจุบัน ในแง่ของภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่ตันปี 2567 พบว่า ดัชนี SET ปรับตัวลดลงถึง 3.64% ในขณะที่มูลค่าหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากว่า 7.9 แสนล้านบาท
ที่ประชุมวิเคราะห์ว่าข่าวเชิงลบของบริษัทจดทะเบียนที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 เป็นต้นมา เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เข้ามากวนให้บรรยายกาศการลงทุนปรับตัวลดลงด้วยเช่นเดียวกัน โดยเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2565 เกิดเคส MORE ดัชนี SET Index อยู่ที่ 1,619 จุด ต่อมา วันที่ 1 มี.ค. 2566 ตลาดขึ้นเครื่องหมาย SP หุ้น STARK เหตุเพราะส่งงบล่าช้า ดัชนี SET Index อยู่ที่ระดับ 1,619 จุด
หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 31 ส.ค.66 JKN แจ้งผิดนัดชำระหุ้นกู้ กระทบดัชนี SETIndex ไหลลงมาอยู่ที่ระดับ 1,565 จุด
นอกจากนี้ ในช่วงวันที่ 20 พ.ย. 2566 รายย่อยนักหยุดเทรดจาก Naked short sell และ Program trading ดัชนี SET Index อยู่ที่ระดับ 1,419 จุด ต่อมาจนถึงวันที่ 19 เม.ย. 2567 เกิดความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และเริ่มขยายตัวเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ ดัชนี SET Index ถูกกดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,330.24 จุด โดย ณ วันที่ 30 เม.ย. 2567 ดัชนี SET Index อยู่ที่ระดับ 1,367.95 จุด
โดยในปี 2567 ดัชนีหุ้น SET และ mai ยังคง Underperform ต่อเนื่องจากปี 2566 เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสำคัญในต่างประเทศ ซึ่งดัชนี SET Index -3.17% และ mai -4.65% เป็นรองจากดัชนี MSCI Latin America ที่ -8.84% ในทางกลับกันตลาดหุ้นที่มีการขยายตัวสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ ญี่ปุ่น 14.26% ไต้หวัน 12.78% ยุโรป (STOXX50) 8.84% มาเลเซีย 8.36% และเวียดนาม 6.81% ตามลำดับ
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดต้นปี 2567 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยมีกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund flow) ไหลออกมากที่สุดในภูมิภาคและไหลออกมากสุดในปีที่ผ่านมา รวมมูลค่ากว่า 5,507.13 ล้านดอลลาร์
ในขณะที่กลุ่มประเทศที่ Fund flow ไหลออกมากที่สุดรองลงมาจากไทย ได้แก่ ตลาดเวียดนาม 1,026.15 ล้านดอลลาร์ ฟิลิปปินส์ 863.332 ล้านดอลลาร์ มาเลเซีย 514.20 ล้านดอลลาร์ และอินโดนีเซีย 353.276 ล้านดอลลาร์
ส่วนภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ในด้านการลงทุนหุ้น IPO นั้น พบว่า ในปี 2566 บริษัทที่มีราคาหุ้น IPO ต่ำกว่าราคาจองซื้อใน SET ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับใน mai
ขณะที่ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ในด้านภาวะการลงทุนในตราสารหนี้ (Bond yield) นั้น Goverment bond yield ปรับตัวสูงขึ้นในเดือน เม.ย. 2567 จากการคาดการณ์ของตลาดว่า ที่ประชุม กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช้ากว่าที่คาดจากแรงกดดันด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ
สำหรับ Corp spread (AAA-A) ทรงตัวในช่วงปลายปี 2566 ถึงต้นปี 2567 แต่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม BBB ตามอุปสงค์หุ้นกู้เสี่ยงที่หดตัวลงจากสภาวะ Flight to quality
อย่างไรก็ตาม ผลการเสนอขายหุ้นกู้นั้น กลุ่ม HYB ขายได้ไม่ครบตามที่เสนอขาย เนื่องจากผู้ลงทุนระมัดระวังการลงทุน จากสถานการณ์ในตลาดตราสารหนี้ที่มีการผิดนัดชำระหนี้ของหลายบริษัท
นอกจากนี้ยังได้ประเมินภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และภาวะธุรกิจหลักทรัพย์พบว่า ในปี 2566 Net Profit ของบริษัทหลักทรัพย์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญร่วงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี โดยสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยลดลงต่อเนื่อง ลดลงไปมากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับปีที่มีสัดส่วนสูงสุดที่ 77% ในปี 2544 ในขณะที่สัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% ในปัจจุบัน
ในขณะที่อัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้ประกอบธุรกิจมีแนวโน้มลดลงทุกปี แต่การเพิ่มขึ้นของนักลงทุนในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้ที่ลดลง ดังนั้นการเพิ่มจำนวนนักลงทุนรวมถึงการมีแหล่งรายได้ ช่องทางการให้บริการอื่นเพิ่มเติมจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่บริษัทหลักทรัพย์ต้องปรับตัว
จากการประเมินพบว่าสัดส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายมีแนวโน้มลดลง แต่ยังคงเป็ นรายได้หลักของอุตสาหกรรมนายหน้า โดยในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา (2561 - 2565) รายได้จากค่าธรรมเนียมนายหน้ายังคงมีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด
ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้าน Fee & Service และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นค่าใช้จ่ายที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การประกอบธุรกิจในภาพรวมของบริษัทหลักทรัพย์มี Cost to Income Ratio สูงขึ้น จากรายได้ที่ลดลง ในขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายทรงตัวในระดับสูง โดนเฉพาะค่าใช้จ่ายจาก peration เช่น ค่าเสื่อมราคา ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการที่ บล. ต้องพัฒนา/ปรับระบบรองรับเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้นหลายด้าน