SCGP ปิดไตรมาส 1/67 ยอดขายพุ่ง 3.39 หมื่นล้าน กำไรโต 41%

23 เม.ย. 2567 | 09:05 น.

SCGP มองไตรมาส 2/67 ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง คงเป้ารายได้รวมแตะ 1.5 แสนล้าน โต 15% จากปีก่อน หลังไตรมาส 1/67 ทำได้ 3.39 หมื่นล้าน กำไรสุทธิโต 41% จากปีก่อน แย้มปลายไตรมาส 2/67 เตรียมปิดดีล M&P ใหม่เพิ่ม 1 ดีล

KEY

POINTS

  • SCGP คาดยอดขายไตรมาส 2/67 เติบโตต่อเนื่อง
  • SCGP แย้มเปิดดีล M&P ใหม่ 1 ดีล ปลายไตรมาส 2/67 นี้
  • SCGP คงเป้าปี 67 รายได้แตะ 1.5 แสนล้าน โต 15% จากปีก่อน

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจและผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2567 มองว่าดีมานด์ยังคงมีทิศทางการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดี แม้ว่าในประเทศไทยและอินโดนีเซียจะเป็นโลวซีซันของธุรกิจ เพราะวันทำงานมีน้อยเนื่องจากมีช่วงวันหยุดยาวเทศกาลส่งกรานต์ของไทย และเทศกาลฮารีรายอ ของอินโดนีเซีย

แต่เชื่อว่าด้วยดีมานดืในประเทศเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจะเข้ามาช่วยทดแทนยอดขายในส่วนของประเทศไทยและอินโดนีเซียที่ชะลอตัวได้ อย่างไรก็ดี หลังจากพ้นวันหยุดเทศกาลสงกรานต์มาแล้ว ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ทั้งในอุตสาหกรรมและอุปโภค-บริโภค กลับมามีการฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว ทำให้มองว่าโอกาสในการเติบโตของยอดขายและรายได้ในไตรมาส 2/2567 ที่ดีขึ้นกว่าทั้งเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า ยังคงมีอยู่

 

SCGP ปิดไตรมาส 1/67 ยอดขายพุ่ง 3.39 หมื่นล้าน กำไรโต 41%

ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้จากการขายไว้ที่ไม่น้อยกว่า 150,000 ล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปีก่อน ที่มีรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ระดับ 147,389.57 ล้านบาท นอกจากนี้ จากการที่บริษัทได้มีการลงทุนเพิ่มเครื่องจักรผลิตเยื่อและกระดาษ ขนาด 75,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้น 9% จากฐานกำลังการผลิตในประเทศไทย ซึ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ไปเมื่อเดือนมีนาคม 2567 คาดว่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตและสร้างรายได้เพิ่มให้กับบริษัทในปีนี้ได้เพิ่ม

ส่วนประเด็นสงครามตะวันออกกลางที่เกิดการตอบโต้ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านนั้น ปฎิเสธไม่ได้ว่ามีผลกดดันให้ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และมีผลทำให้ราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกปรับตัวเพิ่มขึ้นตามซึ่งอาจกระทบไปถึงต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจุบันคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบเม็ดพลาสติกกว่าครึ่งสามารถปรับราคาขึ้นตามต้นทุนได้โดยเฉพาะตลาดการส่งออก และอีกส่วนหนึ่งที่มีการล็อกราคาขายไว้แล้วก็ยังสามารถเจรจาต่อรองกับลูกค้าได้ เพียงแต่อาจมีช่วงต่างของระยะในการขึ้นราคาราว 2-3 เดือน

ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการเจรจาเพื่อล็อคราคาต้นทุนเชื้อเพลิง รวมถึงวัตถุดิบประเภทเศษกระดาษไว้แล้วเต็มไตรมาส 2/2567 และกว่า 50% ในไตรมาส 3/2567 ทำให้คาดว่าจะช่วยลดแรงกระทบของต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่มีราคาสูงลงได้ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นจะมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอีกครั้ง

ในช่วงไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขายแล้วที่ 33,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นทั้งสานธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ โดยมี EBITDA อยู่ที่ 5,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 1,725 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน จากการดำเนินงานตามกลยุทธ์การเติบโต

รวมถึงการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนด้วยการนำ Machine Learning และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาใช้ในกระบวนการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ และการบริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพในภูมิภาคด้วยเครือข่ายจัดหาวัตถุดิบที่ครอบคลุมในไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวม 155 แห่ง เพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้ SCGP ได้วางงบลงทุน Merger & Partnership (M&P) 10,000 ล้านบาท ในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโต เช่น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฯลฯ เพื่อรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการผลิตและส่งออก จากงบลงทุนรวมปีนี้ 15,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาดีลที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปได้ภายในช่วงปลายไตรมาส 2/2567 นี้ ไม่น้อยกว่า 1 ดีล