นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นั้น มองว่าสถานการณ์ครั้งนี้ 50:50 เพราะเห็นสัญญาณของนักเศรษฐศาสตร์ที่เสียงแตกออกเป็น 2 ข้าง มีน้ำหนักทั้งที่เห็นด้วยกับการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ และที่คาดว่าจะไม่เกิดขึ้นในรอบนี้ แต่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี กรือครึ่งปีหลัง
แต่ส่วนตัวเชื่อว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น จะเกิดขึ้นจริง เกิดขึ้นแน่ แต่คงไม่ใช่ในรอบนี้ เพราะดูจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาปัจจุบันยังคงมีความแข็งแกร่ง ซึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ GDP การจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-Farm) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ระดับเงินเฟ้อลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2% ดังนั้นแล้วการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ และคาดว่าจะได้เห็นการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในช่วงเดือนมิถุนายน หรือ กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป
ซึ่งหากว่าไทยปรับลดดอกเบี้ยก่อน มันจะกลายเป็นว่าช่องว่างระหว่างส่วนต่างดอกเบี้ยประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาจะกว้างมาก หากว่าไทยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป และผลกระทบที่ตามมาแน่ๆ คือเงินบาทจะยิ่งอ่อนค่ามากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติ (Fundflow) ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
ในส่วนของเงินเฟ้อประเทศไทยนั้น ปัจจุบันมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนมกราคมมาจนถึงเดือนมีนาคม ดังนั้น คาดว่าในรอบนี้ กนง. อาจเห็นว่ายังเร็วเกินไปที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยลง แต่เชื่อว่าในช่วงกลางปี ถึงสิ้นปี 2567 อาจได้เห็นกันปรับลดอัตราดอกเบี้ยเกิดขึ้นแน่อย่างน้อย 1 ครั้ง
โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ทางฝ่ายคาดการณ์ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจประเทศไทยจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้น เนื่องจากคาดว่าภาครัฐจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2567 เป็นต้นไป และต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี อีกทั้งในช่วงปลายปีเชื่อว่าภาครัฐจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของการจับจ่ายใช้สอย และการท่องเที่ยว รวมไปถึงแนวโน้มการขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ ทางฝ่ายมองว่าจากสถานการณ์ที่ค่อนข้างผันผวนของตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนเมษายน เป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุนได้ มองกลุ่มที่ น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างกลุ่มบัตรเครดิต แนะนำ AEONTS ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ ที่มองว่ามูลค่าหุ้น (Valuation) ไม่แพงและได้ผลตอบแทนที่ดีทางฝ่ายชอบ SPALI และ AP
นอกจากนี้ กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า คือ กลุ่มอาหาร ได้แก่ BTG และ TFG ขณะที่กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น AOT BA ERW และ BDMS สำหรับกลุ่มอุปโภค-บริโภคในประเทศ (ตัดเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะมาในช่วงปลายปี) ได้แก่ CPALL และ CPAXT เป็นต้น มีความน่าสนใจในการลงทุน
ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2/2567 ทางฝ่ายคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 1300 จุดไปจนถึง 1500 จุด สำหรับมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2/2567 นั้นคาดการณ์ว่า ไม่หวือหวามากนัก เนื่องจากตามปกติแล้ว ไตรมาส 2 ของทุกปีจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของ SET โดยตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป เพราะเป็นการเข้าสู่ไฮซีซั่น อย่างไรก็ดี มองว่าในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงโอกาสของการลงทุน เนื่องจากเป็นไตรมาสแห่งความคาดหวังและรอเก็บเกี่ยวผลในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดการณ์ว่าตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจจะมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น